5564 จำนวนผู้เข้าชม |
หลังจากที่ ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น บมจ. แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC) มีมติอนุมัติแผนลงทุนในกิจการโรงแรม พลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก มูลค่ารวม 7,789 ล้านบาท ที่รวมกรรมสิทธิแบบขายขาด (Freehold) ในโรงแรมพลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก และอาคารทาวน์เฮาส์ พร้อมทั้งได้สิทธิเป็นเจ้าของแบรนด์พลาซ่า แอทธินี ในอเมริกาและไทย รวมถึงการนำแบรนด์ไปใช้ในโครงการอื่ืนๆ ได้โดยไม่มีต้นทุนค่าใช้จ่าย เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทำให้บริษัทฯ เดินหน้าเข้าซื้อกิจการโรงแรม พลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก ทันที ด้วยการลงทุนซื้อหุ้นในสัดส่วน 18% คิดเป็นมูลค่า 1,402 ล้านบาท ส่วนอีก 82% ที่เหลือ จะทยอยใช้สิทธิ Call Option ที่มีระยะเวลา 10 ปี ซื้อหุ้นจนครบทั้งจำนวน แต่มีเงื่อนไขว่า จะต้องชำระเงินค้างชำระบวกด้วยดอกเบี้ยในอัตราปีละ 5%
ซึ่งทางผู้บริหาร AWC ประเมินว่า มีความคุ้มค่า เพราะเป็นการลงทุนที่มีความยืดหยุ่น สามารถตอบโจทย์การเติบโตก้าวกระโดดในระยะยาวได้ และไม่สร้างภาระต่อฐานะการเงินของบริษัทฯ ในระหว่างการพัฒนา อีกทั้งยังจำกัดความเสี่ ยงจากการพัฒนาโครงการ เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการเติบโตของมูลค่าแบรนด์ พลาซ่า แอทธินี ที่เพิ่มขึ้นภายหลังเปิดดำเนินงาน และสร้างรายได้เพิ่มให้กับโครงการอื่นๆ ในระยะยาว

ถึงแม้การลงทุนครั้งนี้จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ AWC ในระยะยาว แต่เพื่อให้สอดรับกับโมเดล River Journey Project ที่ให้ประสบการณ์การท่องเที่ยวระดับอัลตร้า ลักชูรี่ ทาง AWC ต้องมีการลงทุนอีก 7.2 พันล้านบาท เพื่อปรับปรุงโครงการ และรีแบรนด์ตัวโรงแรมใหม่ ภายใต้ชื่อ โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา ทั้งที่นิวยอร์ค และกรุงเทพฯ ก่อนเปิดให้บริการพร้อมกันในไตรมาสแรกปี 2569
ขณะเดียวกัน ทาง AWC มีการให้ข้อมูลผ่านนักวิเคราะห์หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรมเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ พร้อมทยอยซื้อหุ้นซื้อโรงแรม พลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก อย่างต่อเนื่องจนครบ 100% ภายในปี 2571 โดยในระหว่างทางจะไม่มีการรวมผลดำเนินงานของโรงแรมพลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก เข้ามาในงบการเงินจนกว่าจะถือหุ้นครบทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดรวมเงินลงทุนซื้อกิจการ และเงินลงทุนเพื่อปรับปรุงโครงการ ที่สูงเกือบ 1.5 หมื่นล้านบาท และต้องใช้เวลากว่าจะรับรู้รายได้ จึงทำให้ตลาดตีความว่า การซื้อกิจการครั้งนี้ไม่ถูก ส่งผลให้ราคาหุ้น AWC ปรับฐานลงกว่า 10% นับตั้งแต่บริษัทฯ ประกาศแผนลงทุนมากว่า 1 เดือนที่ผ่านมา
ขณะที่นักวิเคราะห์จากบัวหลวง (BLS) และไพ (Pi) ตีความการซื้อกิจการครั้งนี้ว่า น่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ AWC ได้ในระยะยาว ตอกย้ำการเป็นหุ้นในธีมเติบโต (Growth stock) ได้ต่อเนื่อง แต่กับภาพระยะสั้นๆ การที่ผลดำเนินงานไตรมาส 2 ถือเป็น Low season ทำให้ขาดปัจจัยหนุนในช่วงนี้ โดยทั้ง 2 ค่าย ประเมินกำไรของ AWC ในไตรมาส 2 จะปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 2 ปีก่อน (YoY) แต่ลดลงจากไตรมาสแรก (QoQ) โดยการฟื้นตัว YoY จะมาจากธุรกิจโรงแรมและการค้า ขณะที่การหดตัว QoQ เป็นผลจาก Low season ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
BLS ชี้ประเด็นว่า การทยอยเปิดตัวโรงแรม 13 แห่งทั่วประเทศตั้งแต่ปีนี้ ต่อเนื่องถึงปี 2569 ทำให้ประเมินอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมของกำไรของ AWC ได้ที่ 68% จึงแนะนำซื้อลงทุนระยะยาว โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 6.50 บาท
ขณะที่ Pi เชื่อว่า AWC จะโชว์กำไรปกติปีนี้ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ที่ 1.3 พันล้านบาท หนุนจากการรับรู้รายได้เต็มปีของโรงแรมใหม่ 3 แห่ง ที่ภูเก็ตและเชียงใหม่ รวม 647 ห้อง และเริ่มให้บริการโรงแรมใหม่ในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ จำนวนห้องพักรวม 448 ห้อง ขณะที่คาดว่ารายได้เฉลี่ยต่อห้องพักต่อคืน (RecPAR) น่าจะสูงขึ้น 15% จากช่วงก่อนเกิดโควิด หนุนให้กำไรปีนี้ จนถึงปี 2569 เติบโตเฉลี่ยได้ 38% จึงอาจทยอยซื้อสะสมเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัว เพื่อลงทุนระยะยาว พร้อมให้มูลค่าพื้นฐานที่ 5.90 บาท