3936 จำนวนผู้เข้าชม |
การเข้าซื้อขายวันแรกของ บมจ. เคซีจี คอร์ปอเรชั่น (KCG) ได้รับผลกระทบจากภาวะตลาดไม่เอื้ออำนวย กดดันให้ราคาหุ้นสามารถยืนเหนือจองได้เพียงระยะสั้นๆ โดยหลังจากเปิดตลาดที่ 8.55 บาท สูงกว่าราคาจอง 5 สตางค์ มีแรงซื้อดันราคาขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 8.90 บาท สูงกว่าราคาจอง 40 สตางค์ จากนั้นเริ่มเจอแรงขายกดราคาหุ้นให้ปรับตัวลง แต่ก็ไม่หลุด 7.90 บาท เนื่องจากมีแรงซื้อรับหนาแน่น ส่งผลให้ราคาหุ้นค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมา กระทั่งปิดตลาดที่ 8.30 บาท ต่ำจองเพียง 20 สตางค์ คิดเป็นผลขาดทุน 2.35% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1,481 ล้านบาท
แต่ไม่ว่าราคาหุ้นจะเป็นอย่างไร บมจ. หลักทรัพย์ บัวหลวง (BLS) ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และแกนนำผู้จัดการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เชื่อมั่นว่า ด้วยรากฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง และศักยภาพทั้งในฐานะผู้คิดค้นและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ สำหรับผลิตภัณฑ์เนยและชีส และผู้นำด้านการสร้างสรรค์สินค้าสู่ตลาด (Trend Setter) ที่สามารถตอบไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ได้อย่างตรงจุด จะตอกย้ำให้นักลงทุนเล็งเห็นถึงปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของ KCG และความสามารถทำกำไรที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นตามมาในที่สุด
ขณะเดียวกัน ผู้บริหาร KCG ยืนยันว่า พร้อมสร้างการเติบโตให้ผู้ลงทุนได้เห็น สอดรับกับคำมั่นที่ให้ไว้ ด้วยการนำเงินที่ได้จากการระดมทุนมาใช้ลงทุนเครื่องจักรใหม่ และนำเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ (Automation) เพื่อขยายกำลังการผลิตชีสเพิ่มจากปีละ 2,106 ตัน เป็น 4,212 ตัน ในปีนี้ ต่อด้วยเนยจากปีละ 18,596 ตัน เพิ่มเป็น 23,261 ตัน ในปีหน้า รวมถึงลงทุนก่อสร้างและพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้า KCG Logistics Park ให้ครอบคลุมสินค้าแบบแช่แข็ง (Frozen) และแบบอุณหภูมิห้อง (Ambient) อีกทั้งเพิ่มพื้นที่การจัดเก็บและบริหารจัดการสินค้าให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ ได้มาตรฐานระดับสากล
พร้อมกันนั้น บริษัทฯ จะเร่งขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มจากที่มีใน 17 ประเทศ เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้ให้สูงขึ้นจาก 4-5% ที่ทำได้ในปัจจุบัน เพื่อผลักดันให้บริษัทฯ เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต เฉพาะปีนี้ คาดว่า จะเห็นการเติบโตของรายได้ไม่ต่ำกว่า 10%