5101 จำนวนผู้เข้าชม |
บมจ. อิชิตัน กรุ๊ป (ICHI) รายงานผลดำเนินงานงวดไตรมาส 2 มีรายได้ 2,029.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้น 10.9% จากไตรมาสแรก (QoQ) ส่งผลให้กำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 67.6% YoY และ 15.3% YoY มาอยู่ที่ 255.6 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 29 ไตรมาส โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นแข็งแกร่งอยู่ที่ 23% สนับสนุนให้ผลดำเนินงานงวดครึ่งปีแรกมีรายได้เติบโต 26.3% YoY มาอยู่ที่ 3,862.3 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 86.1% YoY มาเป็น 477.3 ล้านบาท จากความสำเร็จของธุรกิจเครื่องดื่มในประเทศ โดยเฉพาะชาเขียวพร้อมดื่มที่เติบโตทั้งยอดขาย (Volume) และมูลค่า (Value) ทำให้มีส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มได้สูงขึ้น ส่วนยอดขายเครื่องดื่มประเภทอื่น อาทิ เย็นเย็น น้ำจับเลี้ยงสมุนไพร และเครื่องดื่มน้ำอัดลมสไตล์เกาหลี "ตันซันซู" และ "น้ำด่างอิชิตัน พลัส CBD" จากกัญชง มีการเติบโตเช่นกัน ขณะที่ยอดขายจากการส่งออกในกลุ่ม CLMV เติบโต 5.83% YoY อานิสงค์จากภาวะเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว และน่าจะฟื้นตัวดีต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง
สำหรับธุรกิจรับจ้างผลิต มีการรับรู้รายได้เข้ามาเต็มไตรมาส สนับสนุนให้การใช้กำลังการผลิตเพิ่มทะลุระดับ 70% และมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง เมื่อมีคำสั่งซื้อจ่อคิวผลิตอยู่ในครึ่งปีหลัง ทำให้มีความเป็นไปได้สูงว่า ธุรกิจรับจ้างผลิตทั้งปีจะทำได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ 100 ล้านบาท
โอกาสนี้ นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ ICHI ยืนยันว่า แนวโน้มครึ่งปีหลังยังมีโมเมนตัมเชิงบวกอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากตลาดในประเทศ ที่ชาเขียวพร้อมดื่มครองส่วนแบ่งตลาดเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น และยังมีกระแสนิยมเร่งตัวต่อเนื่อง ส่วนตลาดต่างประเทศ น่าจะฟื้นตัวดีต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังจะมุ่งเน้นแผนการตลาดเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีแผนเปิดตัวสินค้าใหม่อีกหลายผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นแผนเปิดตัว ตันซันซู รสชาติใหม่ Honey Lemon ทั้งขนาด 20 บาท วางจำหน่ายในโมเดิร์นเทรด และขนาด 15 บาท จำหน่ายผ่านร้านค้าทั่วประเทศ ในเดือนตุลาคมนี้ ขณะที่ธุรกิจรับจ้างผลิต อยู่ในระหว่างการเจรจาปิดดีลกับพันธมิตรใหม่อีกหลายราย ทำให้ช่องทางการสร้างรายได้มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และพร้อมปรับเป้ารายได้จากเดิมที่ 7,300 ล้านบาท เป็น 7,600 ล้านบาท หรือเติบโตจากปีก่อนราว 20%
สำหรับความเห็นนักวิเคราะห์ มองภาพธุรกิจของ ICHI ปีนี้ อยู่ในสถานการณ์ผลิตไม่ทันขาย เพราะอุตสาหกรรมชาเขียวกลับมาเติบโตแข็งแกร่ง ทำให้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปีนี้และปีหน้า รวมถึงมูลค่าเหมาะสมขึ้น โดยมีราคาเฉลี่ยที่ 18.20 บาท
หยวนต้า (YUANTA) อธิบายว่า การเติบโตของตลาดชาเชียวตลอด 8 เดือนแรกในอัตรา 19% และการที่บริษัทฯ ใช้กำลังการผลิตที่ระดับ 70-75% ซึ่งถือว่าเต็มกำลังการผลิตแล้ว และมีแผนว่าจ้าง outsource ช่วยผลิตในสัดส่วน 5-6% ของยอดขายรวมเพิ่มในไตรมาสสุดท้าย ระหว่างรอการติดตั้งไลน์การผลิตเพิ่ม ทำให้คาดการณ์ว่า ยอดขายชาเชียวในครึ่งปีหลังจะยังคงเติบโตต่อเนื่องจากครึ่งปีแรก ทั้งที่ปกติยอดขายจะชะลอตัวลงตามปัจจัยฤดูกาล
ที่สำคัญ การที่ค่าใช้จ่ายในการขายมีแนวโน้มชะลอตัวลง และการปรับกลยุทธ์ด้านราคาขายใหม่ในตลาดอินโดนีเซียเพื่อกระตุ้นยอดขาย ทำให้คาดว่าส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมทุนจะเร่งตัวดีขึ้น ทำให้ปรับประมาณการรายได้ปีนี้และปีหน้าขึ้น 8.7% และ 13.0% เป็น 7,376 ล้านบาท และ 7,782 ล้านบาท และปรับกำไรปติปีนี้และปีหน้าขึ้น 39.7% และ 6.3% เป็น 896 ล้านบาท และ 953 ล้านบาท ทำให้ต้องปรับราคาเหมาะสมขึ้นเป็น 17 บาท
นอกจากนี้ บริษัทฯ เตรียมเพิ่มไลน์การผลิตอีกปีละ 1.7 พันล้านขวด หรือเพิ่มกำลังการผลิตอีก 13.3% ด้วยเงินลงทุนราว 460 ล้านบาท คาดจะติดตั้งแล้วเสร็จในไตรมาสสุดท้ายปีหน้า ซึ่งจะทำให้ฐานรายได้ขยับเพิ่มเป็นปีละ 9,000 - 10,000 ล้านบาท ถือเป็น upside ต่อราคาหุ้นในระยะกลางถึงยาว
ขณะที่กรุงศรี พัฒนสิน (KCS) เสริมเรื่องแผนลงทุน 460 ล้านบาทว่า ไม่น่าส่งผลกระทบต่อการจ่ายเงินปันผลที่ปีก่อนจ่ายในอัตราหุ้นละ 0.60 บาท เพราะ ICHI มีกระแสเงินสดครึ่งปีแรกสูงถึงหุ้นละ 0.52 บาท ซึ่งเพียงพอทั้งการลงทุนและจ่ายปันผล โดยคาดปันผลปีนี้ที่ 0.65 บาท คิดเป็นอัตราปันผลราว 5%
ส่วนทิสโก้ (TSC) ชี้ประเด็นว่า กำไรมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของยอดขายและการรับจ้างผลิต ขณะที่ต้นทุนบรรจุภัณฑ์เริ่มปรับตัวลง และการปรับสูตรความหวานช่วยลดภาษี ส่งผลดีต่ออัตรากำไรขั้นต้น ทำให้ปรับประมาณการกำไรปีนี้และปีหน้าขึ้นปีละ 12% ส่งผลให้กำไรปีนี้และปีหน้าเติบโต 53% และ 17% ตามลำดับ ได้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 19 บาท ซึ่งเป็นราคาสูงสุด จึงแนะนำ "ซื้อ"