InnovestX แนะครึ่งปีแรกเพิ่มน้ำหนักลงทุนตราสารหนี้ และแบ่งเงิน DCA หุ้นไทยที่ราคาต่ำเกินพื้นฐาน รอฟื้นครึ่งปีหลัง

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่ยังอึมครึม และยังไม่สามารถคาดหวังกระแสเงินลงทุนจากต่างชาติ (Fundflow)  ทั้งที่ราคาหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีหลายตัวปรับลงลึก แถมยังส่อเค้าจะย่อตัวมากกว่าดีดตัว เพราะยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามากระตุ้นตลาด ทำให้สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ (InnovestX) ออกมาแนะนำกลยุทธ์ลงทุนรับมือความผันผวนปีมังกรทอง ด้วยการกระจายพอร์ตลงทุนออกไปในสินทรัพย์ต่างๆ แต่ครึ่งปีแรก ให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ เน้นพันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้คุณภาพสูง (Investment grade) ซึ่งจะได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยที่ลดลงในอนาคต รวมถึงสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทองคำ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือ REITs แทนหุ้น ซึ่งต้องเลือกลงทุนในหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี และราคาต่ำกว่ามูลค่า (Value stock) และหุ้นวัฏจักร (Cyclical stock) รวมถึงหุ้นที่มี ESG scoring ระดับ A ขึ้นไป ในลักษณะซื้อถัวเฉลี่ย (Dollar-Cost Averaging หรือ DCA) เพื่อรอการฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง โดยให้น้ำหนักกับหุ้นในตลาดเอเชีย รวมไทย มากกว่าตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่โดดเด่นกว่า

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเม็ดเงินลงทุนในตลาดการเงินโลกตลอดปีมังกรทองถูกกดดันจาก 3 ปัจจัยหลัก ปัจจัยแรก เป็นปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ประกอบด้วย การที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเกิดภาวะถดถอยในช่วงครึ่งปีแรก และทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ จะลดลงเร็วอย่างที่ตลาดคาดหรือไม่ โดยหากเป็นไปตามคาด จะส่งผลต่อดีต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่และตลาดหุ้นไทย แต่หากช้ากว่าคาดอาจทำให้ตลาดผิดหวัง

ขณะที่เศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างที่เป็นอุปสรรคสำคัญทำให้การเติบโตชะลอตัวต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ผ่านมา และกำลังสูญเสียความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจให้กับอินเดีย นอกจากนี้ยังต้องติดตามนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่นด้วยว่าจะเริ่มหยุดผ่อนคลายเมื่อไร เพราะจะส่งผลต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่นและตลาดอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงความคืบหน้าของการเบิกจ่ายงบประมาณ และโครงการ Digital wallet ด้วยว่าจะดำเนินการได้เร็วหรือช้าเพียงไร  

ส่วนปัจจัยที่สอง เป็นปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ถือว่าเป็นปัจจัยที่จะสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินในบางช่วงเวลา ไม่ว่าจะเป็นท่าทีของสหรัฐฯ ต่อจีน สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างจีนและไต้หวัน อิสราเอลกับกลุ่มฮามาส รัสเซียกับยูเครน เนื่องจากมีจะผลกระทบต่อเงินเฟ้อ ราคาพลังงานและอาหาร รวมถึงการขนส่งสินค้า และการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ที่จะเกิดในเดือนพฤศจิกายน

และปัจจัยสุดท้าย เป็นผลกระทบที่จะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและภัยธรรมชาติ

ความผันผวนจาก 3 ปัจจัยข้างต้น ทำให้กรอบการลงทุนหุ้นปีนี้ เป็นปีแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (A Year of Value Investing) จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนระยะยาวในการลงทุน โดยเฉพาะหุ้นไทย ซึ่งมีหุ้นคุณภาพที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเมื่อให้คัดเลือกหุ้นเด่นปีมังกรทอง InnovestX เลือกหุ้น 10 ตัว คือ AMATA, BBL, BEM, BDMS, CPALL, CRC, GULF, OR, SCC และ SCGP และแนะนำให้ทยอยซื้อแบบ DCA ที่ดัชนีบริเวณ 1,400-1,450 จุด และเพิ่มน้ำหนักซื้อหากดัชนีต่ำกว่า 1,400 จุด

ขณะที่ดัชนีเป้าหมายมองไว้ที่ 1,650-1,700 จุด อิงสมมติฐาน ค่าเงินบาทเฉลี่ยที่ 35.50-36.00 บาท ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่บาร์เรลละ 80 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ และไทยสิ้นปี อยู่ที่ 4.40% และ 2.50-2.75% ตามลำดับ

สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับลดน่้ำหนักลงทุนลง เนื่องจาก Valuation มีความตึงตัวมากขึ้น และโอกาสปรับขึ้น (upside) จำกัดมากขึ้นหลังดัชนี S&P500 ปรับขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ สะท้อนให้เห็นความสามารถทำกำไรที่ดีของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ไปในดัชนีฯ ค่อนข้างมากแล้ว และรอโอกาสซื้อสะสมหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว (High Quality) แทน เมื่อระดับราคาถูกลงมากกว่านี้

ส่วนตลาดหุ้นจีนทั้ง A-Share และ H-Share ยังไม่แนะนำให้สะสมหุ้นจีนเพิ่มในเวลานี้ สำหรับผู้ที่ลงทุนอยู่แล้วแนะนำให้ถือต่อไป เพราะประเมินว่า ความตึงเครียดในช่องแคบไต้หวันจะซ้ำเติม Valuation หุ้นจีน ที่แม้ปัจจุบันอยู่ในระดับที่ถูกมากเมื่อเทียบค่าเฉลี่ยในอดีต แต่ยังต้องติดตามประเด็นพัฒนาการเชิงบวกเพิ่มเติม จากความพยายามออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมของทางการ เพื่อเยียวยาภาคอสังหาริมทรัพย์ กับบรรเทาความเสี่ยงเงินฝืด และภาวะแวดล้อมทางภูมิรัฐศาสตร์ ผ่อนคลายความตึงเครียดลง ทั้งบนช่องแคบไต้หวัน และบนข้อพิพาทเทคโนโลยีกับสหรัฐฯ