NAT พร้อมดีเดย์เข้าตลาดหลักทรัพย์ mai ก.พ. นี้ ชูจุดเด่นหุ้นเติบโตเด่นสุดของกลุ่ม SI

นายสุธี อภิชนรัตนกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. แนท แอบโซลูท เทคโนโลยีส์ (NAT) เปิดเผยถึงข้อมูลธุรกิจและพื้นฐานทางการเงิน เพื่อให้นักลงทุนเข้าใจถึงศักยภาพการดำเนินงาน และโอกาสการเติบโตทางธุรกิจในงานโครงสร้างระบบเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร (งานด้าน SI) ครอบคลุมถึงการให้บริการจ้างเหมาบำรุงรักษาระบบ (งานด้าน MA) หลังหมดการรับประกันหลัก และการให้บริการด้านเทคโนโลยี สรุปได้ว่า การที่ความต้องการพัฒนาระบบเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสารของทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานให้สามารถตอบสนองความต้องการใช้งานของประชาชนให้มากขึ้น ทั้งการพัฒนาระบบประมวลฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ระบบการจัดเก็บข้อมูลที่มีคุณภาพ รวมถึงการป้องกันภัยคุกคามทางด้านไซเบอร์ ทำให้อุตสาหกรรมเทคโนโลยีปัจจุบันมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และเป็นโอกาสดีของบริษัทฯ ในการนำเสนอโซลูชันทางเทคโนโลยี และผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานระดับโลก ช่วยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างตรงจุด และมีพัฒนาการความสำเร็จที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สะท้อนผ่านผลดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปีล่าสุด (ปี 2563-65)บริษัทฯ มีรายได้รวม 492.64 ล้านบาท 451.36 ล้านบาท และ 1,093.23 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ทำกำไรสุทธิได้ 56.78 ล้านบาท 26.68 ล้านบาท และ 100.62 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งการชะลอตัวของรายได้และกำไรในปี 2564 เกิดจากผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด กดดันให้กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง การส่งมอบสินค้า และการติดตั้งงานระบบต่างๆ ตลอดจนการเข้าพบลูกค้ามีความไม่สะดวก ต้องใช้เวลายาวนานขึ้น และช่วยผลักดันให้ผลดำเนินงานปี 2565 เติบโตอย่างก้าวกระโดด

สำหรับแนวโน้มผลดำเนินงานปี 2566 ที่ผ่านมา คาดว่าจะสามารถเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) จากมูลค่างานในมือ (Backlog) สิ้นไตรมาส 3 ที่มีกว่า 551.80 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องถึงปี 2567 อีกทั้งยังมีแผนรับรู้รายได้จากงานใหม่ๆ ที่จะเข้ามาเพิ่มเติม จากหน่วยงานภาครัฐ ที่นอกเหนือจากกลุ่มโทรคมนาคม และภาคเอกชน ในกลุ่มโรงพยาบาล และกลุ่มพลังงาน ผลักดันการเติบโตอย่างต่อเนื่อง  

ที่สำคัญ การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai) ยังจะช่วยสนับสนุนให้บริษัทฯ สามารถขยายธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จากเงินทุนที่แข็งแกร่งมากขึ้น เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และการเข้ารับงานโครงการต่างๆ จากลูกค้าทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ที่อยู่ในระหว่างการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุค Digital Transformation อย่างมีคุณภาพ ช่วยผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคต

ด้านนายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ (APM) ในฐานะที่ปรึกษาการเงิน NAT เสริมว่า บริษัทฯ มีจุดเด่นตรงที่เป็นหุ้นเติบโตเด่นสุดในกลุ่ม SI ดูได้จากอัตราการเติบโตของรายได้ กำไร และอัตรากำไรสุทธิ ที่สูงกว่าคู่แข่ง แม้จะมีขนาดของธุรกิจที่เล็กกว่า โดยรายได้จากธุรกิจ SI ราว 98% จะรับรู้ไม่เกิน 1 ปี เฉลี่ยส่วนใหญ่อยู่ที่ 6 เดือนบวกลบ ซึ่งจะผลักดันให้ผลดำเนินงานสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้อย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญ สามารถเก็บเงินจากลูกค้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานภาครัฐได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ระยะเวลาวงจรเงินสด คำนวณจากสินค้าคงเหลือรวม (Cash Cycle) ติดลบ 

นอกจากนี้ NAT ยังเป็นธุรกิจที่ไม่มีเงินกู้สถาบันการเงิน ทำให้มีกำไรสะสม สามารถจ่ายปันผลให่กับผู้ถือหุ้นได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยบริษัทฯ มีนโยบายจ่ายปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ หลังหักเงินสำรองต่างๆ ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย  

ขณะที่นางสาวมธุรส สาราณียะธรรม กรรมการผู้จัดการ APM กล่าวถึงความสำเร็จในการนำเสนอข้อมูลกับนักลงทุน (โรดโชว์) ก่อนหน้านี้ว่า ได้มีการโรดโชว์มาแล้ว 9 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี, นครปฐม, ราชบุรี, พิษณุโลก, นครสวรรค์, นครราชสีมา, ขอนแก่น, เชียงใหม่ และ สงขลา ซึ่งนักลงทุนทุกจังหวัดให้การตอบรับ NAT เป็นอย่างดี จากจุดเด่นในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้าน Infratech ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ มากกว่า 20 ปี มีพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัทชั้นนำระดับโลก ช่วยให้สามารถนำเสนอโซลูชันทางเทคโนโลยี และให้บริการที่มีคุณภาพได้ครบทุกความต้องการของลูกค้า และมีโอกาสขยายธุรกิจได้อีกมาก ตามการขยายตัวของความต้องการพัฒนาระบบประมวลฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ระบบคลาวด์ และระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า รวมถึงยกระดับการให้บริการลูกค้าให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น

ส่วนนายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บมจ. หลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น NAT ปิดท้ายว่า หลังจากเสร็จสิ้นการโรดโชว์ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 92 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 28.05% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด โดยมีมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai หมวดธุรกิจเทคโนโลยี (TECH) ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ โดยจะมีการประกาศราคาเสนอขายหุ้น IPO อย่างเป็นทางการ ในเร็วๆ นี้ แต่ยืนยันได้ว่า ราคาจะสมเหตุสมผลแน่นอน