5326 จำนวนผู้เข้าชม |
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ลงนามความร่วมมือทางธุรกิจกับ บริษัท ไทยไพบูลย์ อีควิปเม้นท์ (TPB) หนึ่งในผู้นำธุรกิจในการบริหารจัดการขยะมูลฝอยจากชุมชนอย่างครบวงจร และผลิตเชื้อเพลิงจากขยะ (RDF) ที่มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับต้นๆ เพื่อขยายพอร์ตธุรกิจที่ไม่ใช้น้ำมัน (Non-Oil) ให้เติบโตสูงกว่า 30% ตามแผน 5 ปีที่วางไว้ โดยเบื้องต้น จะเข้าไปลงทุนในสัดส่วน 10% คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 103 ล้านบาท ก่อนลงทุนเพิ่มเป็น 33.33% อย่างช้าสุดปีหน้า คิดเป็นมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 400 ล้านบาท
สำหรับการลงทุนครั้งนี้ นอกจากจะช่วยขยายพอร์ตธุรกิจพลังงานทดแทน (Renewable Energy) ซึ่งเป็น 1 ใน 8 ธุรกิจเป้าหมายในการลงทุนของ PTG ให้เติบโตแข็งแกร่งขึ้นได้แล้ว ยังจะสามารถต่อยอดไปยังธุรกิจอื่น เช่น ธุรกิจบริหารจัดการขยะรีไซเคิล และธุรกิจคาร์บอนเครดิตได้เพิ่ม
นอกจากนี้ บริษัทฯ กำลังอยู่ในระหว่างเจรจาเข้าลงทุนในธุรกิจเป้าหมาย เช่น ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม อีก 3 ดีล ซึ่งหากประสบความสำเร็จในปีนี้ จะทำให้พอร์ตธุรกิจ Non-Oil ขยายตัวจาก 21% ในปีที่ผ่านมา ขึ้นมาที่ 25%
ด้านนายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTG อธิบายเพิ่มว่า การเข้าลงทุนครั้งนี้ บริษัทฯ จะเข้าไปช่วยสนับสนุนด้านการวางระบบการบริหารจัดการต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงหาวิธีสร้างประโยชน์จากขยะเพิ่ม ทั้งเพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไรของ TPB ให้สูงขึ้น และนำมาต่อยอดสำหรับโรงไฟฟ้าขยะ ที่อำเภอบ้านพรุ จ. สงขลา ซึ่ง PTG ได้ลงทุนเมื่อปี 2565 คาดว่าจะสามารถเดินเครื่องจำหน่ายไฟฟ้าในปีหน้า ด้วยสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จำนวน 4.5 MW
เบื้องต้น PTG ไม่ได้คาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนในปีนี้มากนัก โดยประเมินแค่การรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท อิงจากผลดำเนินงานของ TPB ที่มีรายได้ปีละกว่า 800 ล้านบาท และกำไรสุทธิกว่า 100 ล้านบาท จากความสามารถในการบริหารจัดการขยะวันละ 7,000 ตัน และผลิตเชื้อเพลิง RDF วันละ 1,500 - 2,000 ตัน ส่งขายให้แก่โรงไฟฟ้าขยะในภาคกลางและตะวันออกเป็นหลัก แต่มีแผนจะเพิ่มอัตรากำไรจากที่ TPB ทำได้ที่ 15% ให้สูงเกิน 20%
แต่ภายใน 2 ปีข้างหน้านี้ TPB ตั้งเป้าเพิ่มการบริการจัดการขยะเป็นวันละ 15,000 - 20,000 ตัน สามารถผลิตเชื้อเพลิง RDF เพิ่มเป็นวันละ 3,000 - 4,000 ตัน พร้อมกับขยายฐานลูกค้าเพิ่มในภูมิภาคอื่นๆ ผ่านการผสมผสานความชำนาญและสายสัมพันธ์ในธุรกิจของ TPB เข้ากับเครือข่ายและระบบนิเวศของ PTG ก่อนจะเดินหน้าเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป
แผนลงทุนใหม่ของ PTG ได้รับการขานรับจากนักวิเคราะห์ค่ายกสิกรไทย (KS) และฟิลลิป (PLS) ว่า จะช่วยต่อยอดการเติบโตของธุรกิจ Non-Oil ในระยะกลางถึงยาว เนื่องจากเป็นการต่อยอดธุรกิจโรงไฟฟ้าขยะ ทำให้สามารถขยายธุรกิจได้โดยมีข้อจำกัดเรื่อง RDF ลดลง และการได้ประโยชน์จากต้นทุนค่าขนส่งที่ลดลง เพราะค่าขนส่งถือเป็นต้นทุนหลักของธุรกิจบริหารจัดการขยะ และยังจะช่วยเพิ่ม upside ต่อราคาหุ้น หาก TPB เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในอนาคต
สำหรับราคาในการเข้าซื้อหุ้น TPB ครั้งนี้ คิดเป็น EV/EBITDA ประมาณ 17 เท่า ซึ่งใกล้เคียงกับหุ้นบริหารจัดการขยะในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ซื้อขายในระดับ 16 เท่า แต่ TPB มีผลประกอบการเติบโตโดดเด่นกว่า โดยมี CAGR ประมาณ 50% ช่วงปี 2561-65 และหากการปรับโครงสร้างธุรกิจแล้วเสร็จ ราคาเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้ จะคิดเป็น EV/EBITDA ที่ 8-9 เท่า ซึ่งถือว่าคุ้มค่ามาก
อย่างไรก็ดี การที่ธุรกิจน้ำมัน (Oil) ในระยะสั้น ยังมีความเสี่ยงจากค่าการตลาดถูกกดดันจากแนวนโยบายภาครัฐ จึงคงราคาเป้าหมายที่ 10.20 บาท ตามเดิม