4905 จำนวนผู้เข้าชม |
นายโตชิ ศิริจิวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. มูฟฟาสท์ (MOVE) เปิดเผยว่า ทางบริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ประกอบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 36 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 26.47% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด ที่ราคาพาร์ หุ้นละ 0.50 บาท ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai )เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มุ่งสู่การเป็นผู้นำ Social Commerce Provider อย่างครบวงจร สามารถตอบความต้องการของผู้ใช้บริการโซเชียลคอมเมิร์ซในทุกมิติ
ทั้งนี้ MOVE ทำธุรกิจให้บริการด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร ทั้งการเป็นผู้จำหน่ายและรับฝากขายสินค้าประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แบรนด์ LYO, Aelova, So Drink, Tackle Man, Viv Skin ผ่านแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์ (Social Media) รวมถึงออนไลน์มาร์เก็ตเพลส (Online Marketplace) อย่าง Shopee, Lazada, TikTok Shop และให้บริการด้านการตลาด การบริหารจัดการสินค้าคงคลัง การจัดส่งสินค้า การวิเคราะห์ข้อมูล และการขายสินค้าให้แก่คู่ค้าของบริษัทฯ (Social Commerce Provider) ภายใต้ชื่อ "Movefast Up-Sell" ครอบคลุมตั้งแต่การให้บริการโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ การจัดหาผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคม (Influencer) เพื่อช่วยประชาสัมพันธ์สินค้า การให้บริการสถานที่และอุปกรณ์สำหรับการไลฟ์สดขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ การวางแผนและสร้างสรรค์เนื้อหาในรูปแบบกราฟฟิกและวิดีโอสำหรับการประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางออนไลน์ และการจัดส่งสินค้าผ่านผู้ให้บริการด้านคลังสินค้าและการขนส่งแบบครบวงจร อีกทั้งยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นตัวแทน (Agency) ทำการขายสื่อโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ให้แก่ลูกค้าโดยตรง
นอกจากนี้ MOVE ยังมีบริษัทร่วมทุน 1 แห่ง ที่บริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วน 50% คือ เอสเคเจ ซุปเปอร์ วิชั่นส์ (SKJ) ทำธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แบรนด์ SKJ Proteoglycan, Aelova และ So Drink
ขณะที่นางสาวจิรยง อนุมานราชธน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เสริมว่า บริษัทฯ มีแผนนำเงินที่ได้จากการระดมทุนมาใช้ขยายธุรกิจ และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็น การเช่าอาคารสำนักงาน การซื้ออุปกรณ์สำหรับการไลฟ์สตรีมมิ่ง หรือการให้บริการสถานที่และอุปกรณ์สำหรับการไลฟ์สดขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อก้าวสู่การเป็น One-Stop-Service Social Commerce Provider
สำหรับจุดเด่นของบริษัทฯ อยู่ที่ประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจมากกว่า 8 ปี ทำให้ประสบความสำเร็จในการปิดการขาย โดยอาศัยจุดแข็งในการมีข้อมูลจำนวนมาก ทั้งด้านกลุ่มผลิตภัณฑ์ และกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ช่วยให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลด้านการขาย สามารถนำมาต่อยอดการขาย ภายใต้การบริหารจัดการงบประมาณทางการตลาด การบริหารจัดการด้านราคา และการให้คำแนะนำกับคู่ค้า เพื่อสร้างความสำเร็จให้กับสินค้าและแบรนด์ร่วมกัน จนได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าผู้ใช้บริการโซเชียลคอมเมิร์ซ ทำให้ MOVE สามารถขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ได้กว่า 900,000 รายการ ให้แก่ลูกค้ากว่า 500,000 ราย ส่งผลให้รายได้จากการขายสินค้าเติบโตเป็นลำดับ จาก 47.11 ล้านบาท ในปี 2563 เพิ่มเป็น 157.86 ล้านบาท และ 222.06 ล้านบาท ในปี 2564 และปี 2565 ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม การที่รายได้จากการบริการงานขาย และรายได้จากการบริการเป็นตัวแทนโฆษณา มีความผันผวนจากหลายปัจจัย เช่น กระแสความนิยมสินค้า การเปลี่ยนแปลงอัตราค่าโฆษณา การเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์การมองเห็นสินค้าในบางแพลตฟอร์ม จึงทำให้รายได้รวมจากการขายและบริการผันผวนตามไปด้วย จาก 212.77 ล้านบาท ในปี 2563 เพิ่มเป็น 315.17 ล้านบาท ในปี 2564 ก่อนจะลดลงมาที่ 298.85 ล้านบาท ในปี 2565 และส่งผลให้กำไรสุทธิปรับลดลงจาก 45.44 ล้านบาท ในปี 2563 มาเป็น 30.29 ล้านบาท ในปี 2564 และ 26.82 ล้านบาท ในปี 2565 ตามลำดับ
ขณะที่ช่วง 9 เดือนแรกปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการเติบโตของรายได้และกำไรดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า โดยมีรายได้รวมจากการขายและบริการ เติบโต 46.17% มาอยู่ที่ 278.19 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิขยายตัว 75.24% มาอยู่ที่ 17.91 ล้านบาท หนุนจากความสำเร็จในการเป็นผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แบรนด์ Aelova