ตลาดเชื่อ PTG ทำผลงานปีนี้ดีต่อเนื่องจากปีก่อน แต่ภาพระยะสั้น ยังถูกกระทบจากนโยบายพลังงาน

นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) ออกมาประกาศแผนดำเนินธุรกิจปี 2567 ว่า พร้อมเดินหน้าผลักดันการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากธุรกิจน้ำมัน (Oil) และธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (Non-Oil) โดยธุรกิจน้ำมัน หลังจากในปี 2566 ที่ผ่านมา มีการขยายตัว 12.1% แตะ 5,960 ล้านลิตร สร้างสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ และทำให้มีส่วนแบ่งตลาดน้ำมันผ่านช่องทางสถานีบริการสูงเกิน 20% เป็นครั้งแรก ทำให้คาดการณ์ปริมาณจำหน่ายน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก 10-12% ตามการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง รวมถึงการขยายสถานีบริการเพิ่มเป็น 2,251 สถานี

ขณะที่ธุรกิจ Non-Oil ตั้งเป้าเติบโต 40-50% ขับเคลื่อนจากการเติบโตของปริมาณจำหน่ายก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ที่ 30-40% ขับเคลื่อนจากการขยายสถานีบริการ Auto LPG และ Gas Shop เพิ่มจาก 573 สาขา เป็น 788 สาขา รวมถึงขยายสาขาร้านกาแฟพันธุ์ไทยอีก 400 สาขา เป็น 1,300 สาขา เน้นในพื้นที่ที่มีศักยภาพมากขึ้น อาทิ ย่านใจกลางเมือง ย่านธุรกิจที่มีกำลังซื้อสูง ศูนย์การค้า สถานที่ราชการ โรงพยาบาล มหาวิทยาลัย โดยมุ่งเน้นการเข้าสู่ระดับอำเภอมากขึ้น

ส่วนธุรกิจอื่นๆ ภายใต้ Max World วางแผนขยายสาขา และ Touchpoints เพิ่มจาก 329 Touchpoints เป็น 961 Touchpoints ซึ่งการขยายหลักๆ จะมาจากการเพิ่มสถานีอัดประจุไฟฟ้า Elex by EGAT PT เพื่อรองรับการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต รวมถึงศูนย์บริการและซ่อมบำรุงรถยนต์ Autobacs และสาขาร้านสะดวกซื้อ Max Mart โดยตั้งเป้าเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจ Non-Oil รวม ให้สูงกว่า 21%

ที่สำคัญ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายครองส่วนแบ่งตลาดน้ำมันผ่านช่องทางสถานีบริการมากกว่า 25% ในปี 2570 ผ่าน 3 กลยุทธ์ ได้แก่ Expansion & Renovation, Service Innovation และ Data Optimization ให้สอดคล้องไปกับการขยายฐานสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus เพิ่มขึ้นกว่า 30 ล้านสมาชิก

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ตั้งเป้าขยายสาขาร้านร้านกาแฟพันธุ์ไทยในรูปแบบแฟรนไชส์มากขึ้น ทั้งในและนอกสถานีบริการน้ำมันเป็น 5,000 สาขาครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ และขยายสู่ตลาดต่างประเทศเช่น สปป. ลาว เช่นเดียวกับการต่อยอดธุรกิจใหม่ๆ เพื่อใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศของ PTG ผ่านการร่วมเป็นพันธมิตรกับผู้ค้ารายต่างๆ เพื่อส่งมอบสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ทั้งการหวนกลับมาใช้บริการซ้ำของลูกค้าเดิม และการหันมาใช้บริการจากลูกค้าใหม่ จากผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย สามารถตอบไลฟ์สไคล์ และความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างอยู่ดี มีสุข เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมีศักยภาพและมีความมั่นคงตลอดไป

สำหรับความเห็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์จากกรุงศรี พัฒนสิน (KCS) บียอนด์ (BEYOND) หยวนต้า (YUANTA) ดาโอ (DAOL) และกสิกรไทย (KS) มองเป้าหมายในการเติบโตของบริษัทฯ มีความเป็นไปได้ เมื่อประเมินจากความสำเร็จในปีที่ผ่านมา และแผนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการหาโอกาสจากการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ทั้งธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุก และธุรกิจผลิตเชื้อเพลิงจากขยะ (RDF) สร้างรายได้ประจำ และขยายระบบนิเวศที่สามารถเติมเต็มความต้องการของลูกค้าได้ครอบคลุมมากขึ้น ช่วยต่อยอดธุรกิจในระยะกลางถึงยาว

อย่างไรก็ตาม กับการที่ค่าการตลาดน้ำมันมีแนวโน้มอ่อนตัวลงจากปีที่ผ่านมา จากผลกระทบของนโยบายพลังงาน ทำให้แนวโน้มกำไรไตรมาสแรกปีนี้ ส่อเค้าอ่อนแอลงจากไตรมาสสุดท้ายปีที่ผ่านมา ทำให้ภาพระยะสั้น ราคาหุ้นยังขาดปัจจัยหนุน จึงควรรอจังหวะซื้อลงทุนระยะกลางถึงยาว เมื่อเห็นความชัดเจนเรื่องค่าการตลาดน้ำมัน และต้นทุนน้ำมันกลุ่ม EURO5 ก่อน แต่ในระยะสั้น อาจเล่นรอบ (Trading) ตามการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นได้ เพราะทั้ง 5 ค่าย ให้ราคาเป้าหมายสำหรับ PTG ปีนี้ไว้ที่ 10-12 บาท