ตรวจสอบหุ้นกลุ่ม WHA พร้อมกลยุทธ์ลงทุนรายตัว

5048 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ตรวจสอบหุ้นกลุ่ม WHA  พร้อมกลยุทธ์ลงทุนรายตัว


 
จากปัจจัยต่างๆ ที่หนุนเรื่องการย้ายฐานการผลิตเข้ามาในไทย และเวียดนาม อย่างต่อเนื่อง ทำให้กลุ่ม บมจ. ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) มีผลดำเนินงานเติบโตอย่างโดดเด่นตามไปด้วย ดูได้จากงบการเงินรอบปี 2566 ที่ผ่านมา  และทิศทางธุรกิจในปี 2567 ที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้หุ้นกลุ่ม WHA ยังคงเป็นตัวเลือกในการลงทุนที่น่าสนใจในระยะกลางถึงระยะยาว

อย่างไรก็ตาม หากมองกลยุทธ์การลงทุนระยะสั้น เริ่มมีคำแนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้น WHAUP และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า เพื่อรับเงินปันผลในอัตราที่สูง  

WHA : กำไร 2 ปีนี้ พร้อมทำสถิติสูงสุดใหม่

หลังจาก WHA ประกาศผลดำเนินงานไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา มีกำไรสุทธิ 2.4 พันล้านบาท ลดลง 15% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) สาเหตุจากยอดโอนกรรมสิทธิที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมปีก่อนหน้าสูงมาก และมูลค่าการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์ต่ำกว่าปีก่อนหน้า ซึ่งมีการขายสินทรัพย์เข้าทั้งกองทรัสต์ WHART และ WHAIR แต่เพิ่มขึ้น 287% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ตามการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะจีน ญี่ปุ่น และไต้หวัน เข้ามาในไทยและเวียดนามอย่างต่อเนื่อง ผลักดันให้ยอดขายที่ดินทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2,767 ไร่ รวมถึงยอดเช่าพื้นที่คลังสินค้า และโรงงานให้เช่า และรายได้จากการให้บริการสาธารณูปโภค ทั้งน้ำและไฟฟา เติบโตสูงขึ้นตามไปด้วย อีกทั้งยังมีการรับรู้รายได้การขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์ WHART ส่งท้ายปีกว่า 3.6 พันล้านบาท ส่งผลให้กำไรรวมทั้งปี เติบโต 9.4% YoY เป็น 4.4 พันล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน

สำหรับปีนี้ ผู้บริหารคาดกำไรจะเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ (All Time High) โดยตั้งเป้ายอดขายที่ดินในไทยและเวียดนามรวมกัน 2,275 ไร่ สอดรับกับความต้องการย้ายฐานการผลิตที่ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังสามารถปรับราคาขายเพิ่มขึ้นได้ราว 5% ด้วยจำนวนที่ดินพร้อมขายทั้งหมด 3,300 ไร่ ต่อเนื่องตลอด 2-3 ปีข้างหน้า และบริษัทฯ มีแผนจะสร้างนิคมอุตสาหกรรมในไทยเพิ่ม 2 แห่ง ขนาด 5,800 ไร่ และเวียดนามเพิ่มอีก 3 แห่ง ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการตกลงกับหน่วยงานภาครัฐของเวียดนาม

ขณะที่ธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภค ตั้งเป้าเพิ่มรายได้จากการขายไฟฟ้า และน้ำเพิ่มจากปีก่อน 17% และ 14% ตามลำดับ ส่วนธุรกิจโลจิสติกส์ ตั้งเป้าส่งมอบพื้นที่คลังสินค้าให้เช่า และโรงงานให้เช่า เพิ่มขึ้น 200,000 ตารางเมตร เป็น 3.145 ล้านตารางเมตร พร้อมกับวางแผนขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์ทั้ง WHART และ WHAIR มูลค่ารวม 5,290 ล้านบาท ส่งผลให้ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์กสิกรไทย (KS) ประเมินกำไรสุทธิที่ 5.1 พันล้านบาท ขณะที่ KSS คาดไว้ 4.7 พันล้านบาท คิดเป็นราคาเหมาะสมที่ 5.70 บาท และ 5.40 บาท ตามลำดับ และแนะนำซื้อ  
 
WHAUP : ภาพระยะสั้น น่าสนใจกว่า WHA

หลังจาก WHAUP ประกาศผลดำเนินงานไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา มีกำไรปกติ 464 ล้านบาท ลดลง 2% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) จากการที่ค่า Ft ต่ำกว่าไตรมาส 3 อีกทั้งมีต้นทุนค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล แต่ขยายตัว 1,793% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) สาเหตุจากผลดําเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจไฟฟ้า ทั้งโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) GHCO-ONE ที่ได้การชำระเงินค่าความพร้อมจ่ายที่สูงขึ้น รวมถึงได้รับเงินชดเชยจากการประกันภัยเพิ่มเข้ามา และโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) ที่ปรับเพิ่มขึ้นตามการปรับค่า Ft ให้สอดคล้องกับต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติ เสริมด้วยผลดำเนินงานที่ดีขึ้นของผลิตภัณฑ์น้ำมูลค่าเพิ่ม และการขายน้ำดิบ ประกอบกับธุรกิจน้ำในเวียดนามยังขาดทุนลดลงเป็นลำดับ ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรปกติรวมทั้งปี 2566 เติบโต 254.2% YoY มาที่ 1,587 ล้านบาท

สำหรับปีนี้ ผู้บริหารตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้า 17% เพื่อให้มีกำลังการผลิตสะสมที่ลงนามสัญญาแตะ 1,000 เมกะวัตต์ (MW) พร้อมกับเพิ่มยอดจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำเพิ่มจากปีก่อน 14% เป็น 178 ล้านลูกบาศก์เมตร ตามการเติบโตของลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม และการได้ประโยชน์จากราคาก๊าซธรรมชาติที่ลดลง ทำให้ KS ประเมินกำไรปกติเพิ่มขึ้นเป็น 1,651 ล้านบาท ขณะที่ KSS ประเมินกำไรปกติที่ 1,564 ล้านบาท เมื่อตัดเงินชดเชยจากการประกันภัยออกไป คิดเป็นราคาเหมาะสมที่ 5.05 บาท และ 5.20 บาท ตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม หากมองความน่าสนใจในการลงทุน ดูเหมือนทั้ง 2 ค่ายจะคิดตรงกันกับค่ายบัวหลวง (BLS) ที่ให้น้ำหนักกับเงินปันผลในระดับ 5-6% มากกว่า Capital Gain จากราคาหุ้น โดยในระยะสั้นๆ นี้ สามารถดักเก็บเงินปันผลที่ WHAUP เตรียมจ่ายให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.1925 บาท กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 25 เมษายนนี้ ก่อนจ่ายเงินปันผลตามมาในวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ คิดเป็นอัตราเงินปันผลในระดับ 4.7% ซึ่งคุ้มค่ากว่าการลงทุนหุ้น WHA



 

สำหรับกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า ดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล (WHAIR) ดูเหมือนประเด็นลงทุน จะมุ่งไปที่การใช้เป็นเครื่องมือช่วยบริหารความเสี่ยง รับตลาดหุ้นไม่มีการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ (Fundflow) ระยะสั้นๆ ในช่วงนี้ และการบริหารพอร์ตหุ้น เพื่อรับเงินปันผลในอัตราสูงกว่า 7% ในระยะกลางถึงยาว และรอโอกาสที่จะได้กำไรจาก Capital Gain เมื่อดอกเบี้ยในตลาดโลกปรับลง
 
WHART : เด่นตรงกระแสเงินสดแข็งแกร่งและเสถียร

หลังจาก WHART ประกาศเงินปันผลต่อหน่วยจากธุรกิจหลัก (DPU) ไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา ที่ 0.13 บาท และอัตราผลตอบแทนเงินปันผลรายปีที่ 7.96% ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย จากรายได้ค่าเช่าที่ลดลง สวนทางต้นทุนค่าเช่า และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่สูงขึ้น แต่เมื่อคิดรวมช่วง 9 เดือนแรกของปี ทำให้ DPU รวมทั้งปี อยู่ที่ 0.774 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 1.1%

การลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์ใหม่ ปลายปีก่อน ทำให้ WHART เป็นกองทรัสต์คลังสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ จึงมีโอกาสเติบโตโดดเด่นตามการบริโภคภายในประเทศ และการลงทุนภาคเอกชน อย่างไรก็ตาม การที่ต้นทุนค่าเช่าเพิ่มขึ้น อีกทั้งทรัพย์สินมีอายุสิทธิการเช่าคงเหลือลดลงจาก 34.61 ปี เหลือ 33.84 ปี ทำให้ประเมินอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 7.9% เหมือนเดิม และ IRR ที่ระดับ 8.5% จึงเหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาวเพื่อเอาปันผล โดย KS ให้ราคาเหมาะสมที่ 12.70 บาท ขณะที่ KSS ให้ราคาเหมาะสมที่ 11 บาท

WHAIR : ตัวเลือกสำหรับเงินปันผลระดับ 2 หลัก

หลังจาก WHAIR ประกาศเงินปันผลต่อหน่วยจากธุรกิจหลัก (DPU) ไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา ที่ 0.137 บาท และอัตราผลตอบแทนเงินปันผลรายปีที่ 10.3% สูงกว่าคาดเล็กน้อย จากการรีไฟแนนซ์เงินกู้ด้วยต้นทุนดอกเบี้ยที่ลดลงในเดือนพฤศจิกายน แต่เมื่อคิดรวมช่วง 9 เดือนแรกของปี ทำให้ DPU รวมทั้งปี อยู่ที่ 0.548 บาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 12.0% หลักๆ จากต้นทุนการเงินที่สูงขึ้นตามทิศทางดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น ทั้งที่รายได้จากค่าเช่าโรงงานสำเร็จรูป (RBF) และคลังสินค้าสำเร็จรูป (RWF) เพิ่มสูงกว่าคาด แบ่งเป็นทรัพย์สินประเภท RBF 67% และ RBW 33%

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มกำไรในปีนี้ส่อเค้าสดใสขึ้นจากปีก่อน ทั้งจากความต้องการเช่าโรงงานสำเร็จรูป และคลังสินค้าสำเร็จรูป ที่เติบโตแข็งแกร่งตามการย้ายฐานการผลิตของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก โดย WHAIR มีอัตราการปล่อยเช่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ระดับ 84.4% อีกทั้งทรัพย์สินมีอายุสิทธิการเช่าคงเหลือเฉลี่ยนานถึง 54 ปี ประกอบกับการรีไฟแนนซ์เงินกู้ด้วยต้นทุนดอกเบี้ยที่ลดลงในปลายปีก่อน และการได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาลงในครึ่งปีหลัง ทำให้การอ่อนตัวของราคากองทรัสต์กว่า 12% ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา กระตุ้นให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงระดับ 10.0% และ IRR ระดับ 10.8-10.9% กำหนดจ่ายปันผลทุกไตรมาส จึงแนะนำ ซื้อ โดย KS ให้ราคาเหมาะสมที่ 8 บาท ขณะที่ KSS ให้ราคาเหมาะสมที่ 8.60 บาท

 

 

 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้