KCS เปิดโผหุ้นหลบภัย จากสถานการณ์ความตึงเครียดตะวันออกกลาง  

ฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บมจ. หลักทรัพย์ กรงศรี พัฒนสิน (KCS)  ออกงานวิจัย ประเมินสถานการณ์สงครามในตะวันออกกลาง ที่ปะทุขึ้นในช่วงสงกรานต์ จนสร้างความผันผวนต่อราคาสินทรัพย์ต่างๆ โดยเฉพาะน้ำมัน และทองคำ ซึ่งส่งผลต่อเนื่องถึงบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก แบ่งออกเป็น  3 กรณี

กรณีเลวร้ายที่สด (Worst Case) สงครามรุนแรงและขยายวงกว้างกลายเป็นสงครามในภูมิภาค เมื่อประเทศพันธมิตรของทั้ง 2 ฝั่งเข้าร่วมรบ ให้น้ำหนักเพียง 10% กรณีนี้จะมีผลให้ราคาน้ำมันดิบทะลุ 100 เหรียญสหรัฐฯ ส่งผลให้ดัชนีตลาดหัุ้นไทย มีโอกาสปรับฐานลงลึก โดยมีแนวรับสำคัญ บริเวณ 1,210 จุด (ใกล้จุดต่ำสุดในปี 2557) แนะให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ ซึ่งได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันขึ้น อย่าง PTTEP, PTT, TOP, SPRC แต่ให้น้ำหนักกับ PTTEP และ TOP มากที่สุด 

กรณีปกติ (Base Case) สงครามยืดเยื้อแต่ไม่รุนแรง ไม่ขยายวงกว้าง ให้น้ำหนักสูงถึง 60% กรณีนี้จะมีผลให้ราคาน้ำมันดิบค่อยๆ แกว่งตัวลง วางแนวต้านของน้ำมันที่ 92 เหรียญสหรัฐฯ และแนวรับบริเวณ 85 และ 80 เหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ ประเมินตลาดหุ้นไทยจะแกว่งตัวออกข้าง (Sideway) ในกรอบ 1,300-1,380 จุด จนสถานการณ์คลายตัว ถึงจะเห็น Upside ที่เปิดกว้าง โดยมีแนวรับที่ 1,340 จุด และ 1,300 จุด ทำสถิติต่ำสุดตั้งแต่วิกฤตโควิด ถือเป็น Value Zone สำหรับการลงทุนระยะยาว ขณะที่แนวต้านระยะสั้น อยู่ที่ 1,365 จุด และ 1,380 จุด ตามลำดับ แนะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคและบริการ อย่าง BJC, ICHI, CPALL, CPAXT, AOT, OSP, GPSC, IVL และ SCGP

กรณีดีที่สุด (Best Case) สงครามจบไว ไม่ขยายวงกว้าง ให้น้ำหนัก 30% กรณีนี้จะมีผลให้ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับลงต่ำกว่า 83.6 เหรียญสหรัฐฯ หนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวเหนือแนวต้าน 1,400 จุด ได้ใน 1 สัปดาห์  แนะนำลงทุนหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี ที่ราคาปรับลงแรง และได้ประโยชน์จากน้ำมันลง อย่าง  BJC, ICHI, CPALL, CPAXT, AOT, OSP, GPSC, IVL, SCGP, AAV, HANA และ MTC