บลจ.บัวหลวง เปิดขายกองทุนลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น 3 กองรวด 23-31 ก.ค.นี้ รับผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนีนำตลาด

5500 จำนวนผู้เข้าชม  | 

บลจ.บัวหลวง เปิดขายกองทุนลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น 3 กองรวด 23-31 ก.ค.นี้ รับผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนีนำตลาด


โอกาสฟื้นตัวของตลาดหุ้นในครึ่งปีหลัง ขานรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่เด่นชัดขึ้นในหลายภูมิภาค และการทยอยลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสำคัญๆ ของโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำให้ บลจ. บัวหลวง (BBLAM) สบช่องเปิดตัวกองทุนใหม่ 3 กองทุนรวด คือ กองทุนเปิด บัวหลวงหุ้นยูเอสพาสซีฟ (B-USPASSIVE) กองทุนเปิด บัวหลวงหุ้นยุโรปพาสซีฟ (B-EUPASSIVE) และ กองทุนเปิด บัวหลวงหุ้นญี่ปุ่นพาสซีฟ (B-JPPASSIVE) เสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ครั้งแรกพร้อมกัน ระหว่างวันที่ 23 – 31 กรกฎาคมนี้ เพื่อเป็นทางเลือกในการเพิ่มมูลค่าเงินลงทุนระยะยาว โดยไม่ต้องกังวลกับความเสี่ยงมาก เพราะกองทุนเหล่านี้มีนโยบายการลงทุนเชิงรับ (Passive Management) ที่มุ่งสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้เทียบเท่า หรือใกล้เคียงผลตอบแทนของดัชนีอ้างอิงให้มากที่สุด ส่งผลให้มีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่าปกติด้วย

โดยกองทุน B-USPASSIVE จะลงทุนผ่านหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว (Feeder Fund) คือ กองทุน SPDR S&P 500 ETF Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ของอเมริกา ภายใต้การบริหารจัดการโดย State Street Global Advisors มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี S&P 500 และจะไม่มีการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ปัจจุบัน มีการกระจายลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี การเงิน สุขภาพ สินค้าฟุ่มเฟือย และการสื่อสาร โดยหุ้นที่มีน้ำหนักมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ Microsoft, Apple, NVIDIA, Amazon และ Meta ซึ่งอยู่ในหุ้นกลุ่ม The Magnificent 7 และเป็นบริษัทที่มีการเติบโตตามกระแส AI

ส่วนกองทุน B-EUPASSIVE จะลงทุนผ่านหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว (Feeder Fund) คือ กองทุน iShares STOXX Europe 600 UCITS ETF ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เยอรมนี ภายใต้การบริหารจัดการโดย Black Rock Asset Managenent Deutschland มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี STOXX Europe 600 ซึ่งมีการกระจายการลงทุนทั้งในอังกฤษ ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ และเยอรมนี และจะไม่มีการลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ปัจจุบัน มีการกระจายการลงทุนในกลุ่มการเงิน อุตสาหกรรม สุขภาพ สินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าฟุ่มเฟือย โดยหุ้นที่มีน้ำหนักมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ Novo Nordisk บริษัทผลิตยาเพื่อโรคเบาหวาน, ASML บริษัทพัฒนาเครื่องจักร, Nestle บริษัทด้านโภชนาการและสุขภาพ, AstraZeneca บริษัทผลิตยาและวัคซีน รวมถึง LVMH กลุ่มบริษัทสินค้าหรูระดับโลก

สำหรับ B-JPPASSIVE จะลงทุนผ่านหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว (Feeder Fund) คือ กองทุน NEXT FUNDS Nikkei 225 Exchange Traded Fund ซึ่งเป็นกองทุน ETF ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ภายใต้การบริหารจัดการโดย Nomura Asset Management มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี Nikkei 225 แบบ Proportion) รวมถึงอาจมีการลงทุนสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับดัชนี Nikkei 225 ปัจจุบัน มีการลงทุนในหุ้นที่มีน้ำหนักมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ Fast Retailing บริษัทค้าปลีกเสื้อผ้าและเจ้าของแบรนด์ Uniqlo, Tokyo Electron ผู้ผลิตอุปกรณ์สำหรับการผลิตเซมิคอนดักเตอร์, SoftBank บริษัทโฮลดิ้งเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร, Advantest Corporation ผู้ผลิตอุปกรณ์ทดสอบอัตโนมัติ และ Shin-Etsu Chemical ผู้ผลิตซิลิโคนที่ถูกใช้แทบทุกอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องสำอาง การก่อสร้าง และอาหาร

อย่างไรก็ตาม การลงทุนใน 3 กองทุนนี้ ทั้ง B-USPASSIVE, B-EUPASSIVE และ B-JPPASSIVE จะไม่มีการจ่ายปันผล และไม่มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนแต่อย่างใด นักลงทุนที่สนใจสามารถลงทุนผ่านโมบายแบงก์กิ้งของธนาคารกรุงเทพ รวมถึงแอปพลิเคชัน BF Fund Trading ของบริษัทฯ และตัวแทนที่ได้รับการแต่งตั้ง โดยสามารถลงทุนขั้นต่ำได้เพียง 500 บาท พร้อมโปรโมชั่นไม่คิดค่าธรรมเนียม front end fees ช่วง IPO จากที่เรียกเก็บในอัตราปกติ 0.5%

 


 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้