4850 จำนวนผู้เข้าชม |
นางดาริน กาญจนะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออพท์เอเชีย แคปิตอล (Opt Asia) ที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ. พีเคเอ็น อินเตอร์โฮลดิ้ง (PKN) กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูล (Filing) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 25.4 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 25.3% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด โดยมีมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา ทำให้บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai) ในเร็วๆ นี้ เพื่อนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน และใช้เพิ่มศักยภาพการเติบโตในธุรกิจสินค้าลิขสิทธิ์ ด้วยการเข้าเป็น License Agent รวมถึงทำสินค้า Art Toy ที่เป็นคาแรคเตอร์ของศิลปินไทย ทั้งที่เป็นที่รู้จัก และศิลปินหน้าใหม่ที่ผ่านการประกวดออกแบบคาแรคเตอร์ เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตและช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดของสินค้า Art Toy ที่กำลังเป็นกระแสนิยมในปัจจุบัน ตลอดจนขยายช่องทางจำหน่ายของตัวเอง ทั้งในรูปแบบการเปิดสาขาภายใต้แบรนด์ IGNITE ราว 5-10 สาขา การเปิด Shop-in-shop ประมาณ 10-15 สาขา การขายสินค้าผ่านตู้อัตโนมัติจำนวน 20-30 เครื่อง ควบคู่ไปกับขยายตลาดต่างประเทศ และใช้ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องและมีศักยภาพในอนาคต ผ่านการซื้อกิจการ หรือร่วมลงทุน ซึ่งจะสนับสนุนให้ธุรกิจมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
ด้านนายนพพล มิลินทางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PKN ชี้แจงว่า การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยยกระดับให้บริษัทฯ ก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์สินค้าลิขสิทธิ์ที่มีนวัตกรรม เพื่อความสำเร็จทางการตลาดของลูกค้าธุรกิจ รวมถึงเป็นผู้นำในการสร้าง Art Toy ฝีมือศิลปินไทยไปสู่ตลาดโลกในระยะยาว ทั้งจากภาพลักษณ์ในการเป็นบริษัทจดทะเบียน และแผนลงทุนเพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และต่อยอดธุรกิจอย่างครบวงจร
ปัจจุบัน PKN ทำธุรกิจออกแบบ ผลิต โดยการว่าจ้างผู้ผลิตภายนอก และขายสินค้าลิขสิทธิ์ สินค้าไลฟ์สไตล์ สินค้าพรีเมียมให้กับลูกค้าธุรกิจ (B2B) จากหลากหลายอุตสาหกรรม และลูกค้ารายย่อย (B2C) โดยนำเอาสินทรัพย์ทางปัญญาประเภทตัวละครลิขสิทธิ์ (Character) จากภาพยนตร์ หรือแอนิเมชัน จากผู้ให้ลิขสิทธิ์ชั้นนำจากอเมริกาและญี่ปุ่น ที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้บริโภค มาสร้างมูลค่าเพิ่ม รวมถึงใช้เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดให้กับธุรกิจ เพื่อเพิ่มยอดขายและการรับรู้ของแบรนด์ และกำลังขยายพอร์ตสินค้าลิขสิทธิ์จากกลุ่มศิลปิน (Creator) ไทย เพื่อผลักดันผลงานการออกแบบของศิลปินไทยให้กลายเป็น Soft Power ที่สำคัญ
สำหรับผลดำเนินงาน 3 ปีล่าสุด (ปี 2564-66) บริษัทฯ มีการเติบโตของรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถพลิกจากขาดทุนสุทธิ 5.74 ล้านบาท ในปี 2564 มาเป็นกำไรสุทธิ 0.20 ล้านบาท และ 13.65 ล้านบาท ในปี 2565 และ 2566 ตามลำดับ หนุนจากรายได้จากการขายและบริการที่เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ จาก 141.22 ล้านบาท เพิ่มเป็น 238.07 ล้านบาท และ 252.06 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่ผลดำเนินงานงวดครึ่งแรกปีนี้ มีกำไรสุทธิ 7.36 ล้านบาท ลดลง 29.23% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ตามรายได้จากการขายและบริการที่ลดลง 9.80% จากช่วงเดียวกันปีก่อน มาอยู่ที่ 122.17 ล้านบาท สาเหตุจากลูกค้ากลุ่ม B2B ซึ่งเป็นฐานรายได้ในสัดส่วนราว 60% ไม่ได้ออกสินค้าใหม่ หรือจัดส่งเสริมการขายมากเหมือนปีก่อน อีกทั้งบริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เกิดจากการเตรียมตัวเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai เพิ่มเติมเข้ามา ฉุดให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับลดลงจาก 7.68% ในไตรมาส 2 ปีก่อน เหลือ 6.02% แต่ยังสูงกว่าปีก่อนที่ทำได้ 5.42%