SCGP พร้อมพลิกผลดำเนินงานปี 2568 มีกำไร หลังเจอมรสุมหลายระลอกฉุดปี 2567 ขาดทุน แต่ยังปันผล 0.30 บาท ขึ้น XD 1 เม.ย.นี้ รวมทั้งปี 0.55 บาท เท่าปี 2566

2478 จำนวนผู้เข้าชม  | 

SCGP พร้อมพลิกผลดำเนินงานปี 2568 มีกำไร หลังเจอมรสุมหลายระลอกฉุดปี 2567 ขาดทุน แต่ยังปันผล 0.30 บาท ขึ้น XD 1 เม.ย.นี้ รวมทั้งปี 0.55 บาท เท่าปี 2566


 

บมจ. เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) ประกาศผลดำเนินงวดไตรมาสสุดท้ายปี 2567 พลิกจากที่มีกำไรทั้งในไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) มาเป็นขาดทุนสุทธิ 57 ล้านบาท เกินคาดหมายตลาด เพราะถูกกดดันจากหลายปัจจัยลบที่เข้ามาพร้อมกัน ทั้งขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน 118 ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียวจากการปรับปรุงทางบัญชี 260 ล้านบาท ขณะที่ราคากระดาษบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคก็ปรับลดลง อีกทั้งลูกค้ายังชะลอคำสั่งซื้อช่วงปลายปี และมีการหยุดซ่อมบำรุงประจำปีในธุรกิจผลิต Dissolving Pulp ฉุดให้รายได้จากการขายลดลง 6%QoQ และลดลง 2%YoY มาอยู่ที่ 31,231 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีผลขาดทุนจากการลงทุนต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ทั้งธุรกิจรีไซเคิลของ Peute & Jordan ในยุโรป และธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในอินโดนีเซีย Fajar ที่เกิดจากการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นแบบเต็มไตรมาส รวมถึงยังมีภาระต้นทุนทางการเงินจากการกู้เงินสถาบันการเงินในการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน Fajar เพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นมา

แต่หากไม่คิดรวมผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 118 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียวจากการปรับปรุงทางบัญชี จำนวน 260 ล้านบาท กำไรหลักจะอยู่ที่ 321 ล้านบาท ลดลง 76%YoY และ 53% QoQ 

ประการสำคัญ การลดลงของกำไรอย่างต่อเนื่องทุกไตรมาส ฉุดให้ผลดำเนินงานทั้งปี 2567 มีกำไรสุทธิ 3,699 ล้านบาท ลดลง 30% จากปีก่อนหน้า ทั้งที่รายได้จากการขายจะเพิ่มขึ้น 3% เป็น 132,784 ล้านบาทก็ตาม ส่งผลให้บริษัทฯ จำเป็นต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้น และนักลงทุนอย่างเร่งด่วน ด้วยการประกาศจ่ายปันผลจากผลดำเนินงานทั้งปี ในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (วันขึ้น XD) 1 เมษายนนี้ ก่อนจ่ายเงินตามมาในวันที่ 21 เมษายน ทำให้เมื่อคิดรวมเงินปันผลระหว่างกาลที่จ่ายไปในเดือนสิงหาคมปีก่อน ทำให้ SCGP จ่ายปันผลรวมทั้งปี หุ้นละ 0.55 บาท เท่ากับปี 2566  

ขณะเดียวกัน นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCGP ได้ออกมาชี้แจงแผนเร่งพลิกฟื้นผลดำเนินงานปี 2568 ให้เข็งแกร่งขึ้นว่า เตรียมผลักดัน 4 กลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพ โดยตั้งเป้าเพิ่มกระแสเงินสด จากการดำเนินงาน (EBITDA) จาก 16,127 ล้านบาท ในปีก่อน เป็น 18,000 ล้านบาท โดยกลยุทธ์แรก เพิ่มความสามารถทำกำไรในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยเฉพาะตลาดตลาดภายในประเทศ อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นตลาดที่สามารถเพิ่มปริมาณขาย ทั้งกระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์กระดาษ และบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ ในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ยังรักษาความเป็นผู้นำส่วนแบ่งตลาดบรรจุภัณฑ์ในอาเซียนได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งสร้างการเติบโตในสินค้าที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภค ประเภท Healthcare Supplies เพิ่มโอกาสขยายตลาดเป้าหมาย และขยายตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง เช่นตลาดเอเชียใต้

กลยุทธ์ที่สอง นำเอาเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตทั้งห่วงโซ่อุปทาน โดยตั้งเป้าหมายลดต้นทุนการผลิตทั้งปีให้ได้ 600 ล้านบาท ส่วนกลยุทธ์ที่สาม ยกระดับนวัตกรรมและโซลูชันเพื่อสร้างความแตกต่าง เพื่อเพิ่มมูลค่าและความสามารถทำกำไร โดยตั้งเป้ารายได้จากกลุ่มสินค้านวัตกรรมและโซลูชัน ในสัดส่วน 37% ของรายได้รวม จากงบวิจัยและพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ ที่ตั้งไว้ในสัดส่วน 1% ของประมาณการรายได้แต่ละปี

 

 

 

 


 


และกลยุทธ์สุดท้าย มุ่งดำเนินงานตามกรอบ ESG และหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยปีนี้วางแผนเพิ่มการใช้พลังงานทางเลือกขึ้นเป็น 39% ซึ่งจะช่วยยกระดับผลิตภัณฑ์ที่ได้การรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ให้มากขึ้นตามไปด้วย

และที่สำคัญที่สุด คือ การทำให้ Fajar พลิกกลับมาทำกำไรได้อีกครั้งในปีนี้ ซึ่งบริษัทฯ วางเป้าหมายแรกไว้ที่ การทำให้ Fajar มี EBITDA เป็นบวกภายในไตรมาส 2 ก่อนจะมีกำไรสุทธิภายในไตรมาสสุดท้าย ซึ่งหากทำสำเร็จ จะส่งผลดีต่อ SCGP อย่างมีนัยสำคัญ

 

 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้