JMART ตั้งเป้าปี 2568 กำไรโต 30% หลังผลงานปี 2567 พลิกจากขาดทุนมาเป็นกำไรตามแผน

บมจ. เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (JMART) รายงานผลดำเนินงานงวดปี 2567 มีกำไรสุทธิ 1,140.8 ล้านบาท ขยายตัว 355% จากปีก่อนหน้าซึ่งขาดทุนสุทธิ 447.0 ล้านบาท ขานรับความสำเร็จในการแก้ Pain Point จากการตั้งสำรองที่สูงของ บมจ. ซิงเกอร์ ประเทศไทย (SINGER) และ บมจ. เอสจี แคปปิตอล (SGC)ได้สำเร็จลุล่วง จนทำให้ธุรกิจกลับเข้าสู่ภาวะปกติ อีกทั้งสามารถเร่งยกระดับกำไรของธุรกิจอื่นๆ ในเครือได้ตามแผนที่วางไว้ ตามกลยุทธ์ The Power of Synergy ที่มุ่งเน้นการสร้าง Ecosystem เชื่อมโยงธุรกิจทั้งด้าน Commerce Tech และ FinTech จนทำให้รายได้จากการขายและบริการเติบโต 1.0% จากปีก่อนหน้า เป็น 13,878.8 ล้านบาท ทั้งที่ภาวะเศรษฐกิจเติบโตได้ต่ำกว่าคาด    

นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เชื่อมั่นว่า กลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทฯ มีผลดำเนินงานเติบโตแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง และกลับมาสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว เฉพาะปี 2568 นี้ ตั้งเป้ากำไรสุทธิเติบโต 30% จากปีก่อน หลังธุรกิจในเครือสามารถเพิ่มศักยภาพการสร้างรายได้และกำไรได้ชัดเจนขึ้น

โดย บมจ. เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) หลังจากได้มีการปรับกลยุทธ์ในการติดตามหนี้ด้อยคุณภาพให้ใกล้ชิดมากขึ้น ทำให้สามารถจัดเก็บหนี้ (Cash Collection) ได้ดีขึ้นเป็นลำดับ ส่งผลให้การตั้งสำรอง (ECL) ลดลง เห็นผลชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีก่อน และน่าจะเติบโตได้ดีขึ้นจากปีก่อน จากการสานต่อกลยุทธ์ในการติดตามหนี้ใกล้ชิดอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มศักยภาพในการจัดเก็บหนี้ให้สูงขึ้น โดยเฉพาะพอร์ตหนี้ที่ซื้อเพิ่มเข้ามาในปีก่อน 30,000 ล้านบาท ให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการตั้งสำรองได้มากขึ้น สนับสนุนให้กำไรสุทธิปี 2568 มีโอกาสเติบโตกลับไปแตะ 2,000 ล้านบาท ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้  

ขณะเดียวกัน เพื่อสร้าง New S-Curve ในธุรกิจประกันภัยในระยะยาว บริษัทฯ ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนร่วมกับบริษัท แอกซินัน ประเทศไทย ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Axinan จากสิงคโปร์ และมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจ InsurTech ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อรุกธุรกิจ InsurTech อย่างเต็มตัว ซึ่งจะเพิ่มศักยภาพการดำเนินธุรกิจประกันภัยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ครอบคลุมทั้งช่องทางออนไลน์ และออฟไลน์

สำหรับ SINGER ที่สามารถพลิกผลดำเนินงานจากขาดทุนสุทธิ 3,210 ล้านบาท มามีกำไรสุทธิ 14 ล้านบาท พร้อมต่อยอดความสำเร็จจากสินเชื่อ Lock Phone ที่ดำเนินการโดย SGC อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดรับกับกระแสการเปลี่ยนผ่านสมาร์ทโฟนมาเป็นรุ่นใหม่ที่มีเทคโนโลยี AI ทดแทนรุ่นเก่าๆ เสริมด้วยการขยายพอร์ตสินค้ากลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่เป็นแบรนด์ระดับท๊อปในตลาด และสินค้าที่ตอบไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค รวมถึงการขยายช่องทางจำหน่ายใหม่ๆ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงลูกค้าให้มากขึ้น ที่สำคัญ การที่บริษัทฯ ไม่มีภาระการตั้งสำรองต่างๆ อย่างในอดีตแล้ว ประกอบกับไม่มีภาระหนี้หุ้นกู้อีก ทำให้ต้นทุนทางการเงินในปี 2568 ปรับลดลง จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะเห็นกำไรเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

ขณะเดียวกัน ความสำเร็จจากสินเชื่อ Lock Phone ของ SCG ยังจะมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมให้ยอดขายสมาร์ทโฟนของบริษัท เต J Mobile และการปล่อยสินเชื่อ Samsung Finance+ ที่บริหารโดยบริษัทร่วมทุน KBJ เติบโตแข็งแกร่งขึ้น ส่งผลให้กำไรของบริษัท เจมาร์ท โมบาย (J Mobile) มีโอกาสเติบโตเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ขณะที่ บมจ. เจเอเอส แอสเซ็ท (J) พร้อมเดินหน้าพัฒนาศูนย์การค้าชุมชน 8 แห่ง ขนาดพื้นที่รวม 100,000 ตารางเมตร ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทำกำไรให้สูงขึ้น ผลักดันให้กำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน ที่ทำได้ 165.6 ล้านบาท

ส่วน J Ventures ผู้พัฒนา JFIN Chain บล็อกเชนเพื่อธุรกิจ และแกนนำในการทำ Transformation ทั้งกลุ่ม JMART พร้อมเดินหน้าพัฒนาแพลตฟอร์ม Insure Tech และ Comm Tech อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับทั้งกลุ่มในระยะกลางถึงยาว

สำหรับสุกี้ตี๋น้อย ที่ดำเนินการโดยบริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป (BNN) น่าจะสร้างกำไรได้อย่างน่าประทับใจต่อเนื่อง จากการควบคุมต้นทุนและบริหารจัดการค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ และแผนขยายสาขาในทำเลที่มีศักยภาพ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพิ่มจาก 79 สาขา ในปีก่อน เป็น 105 สาขา รวมถึงการขยายแบรนด์ใหม่ๆ และการเพิ่มช่องทางจำหน่ายในรูปแบบอื่นๆ เช่น ป๊อปอัพ สโตร์ (Pop-up Store) ให้ตรงความต้องลูกค้าครบทุกกลุ่ม หนุนให้ JMART รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในสัดส่วน 30% ได้มากขึ้น จากที่ทำได้ 350.7 ล้านบาท ในปีก่อน