GGC ปรับหมากธุรกิจเน้นเคมีชีวภาพเต็มตัว มุ่งเติบโตอย่างยั่งยืน เฉพาะปี 2568 ตั้งเป้ารายได้ทะลุ 2 หมื่นล้านบาท

นายกฤษฎา ประเสริฐสุโข กรรมการผู้จัดการ บมจ. โกลบอลกรีนเคมิคอล (GGC) เปิดเผยแผนดำเนินธุรกิจปี 2568 ว่า เพื่อรับมือความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจโลก รวมถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และภูมิทัศน์ทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป บริษัทฯ ได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจใหม่ Transformation for Future Growth เพื่อสร้างการเติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืนในระยะยาว ทำให้มีการปรับเปลี่ยนธุรกิจหลัก จากธุรกิจพลังงานชีวภาพ (BioEnergy) ไปสู่ธุรกิจเคมีชีวภาพ (BioChemical) ซึ่งตลาดมีความต้องการ และยังมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต ผ่านการต่อยอดผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่ 4 แพลตฟอร์ม ได้แก่ อาหารและส่วนประกอบอาหาร (Food & Feed) เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคล (Cosmetics & Personal Care) โภชนเภสัช (Pharmaceuticals) และเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Industrial Applications)เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน (Sustainable Products) ควบคู่ไปกับการเร่งแสวงหาผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม (High Value Products -HVP) ที่ให้ผลตอบแทนสูงและตอบความต้องการของตลาดอย่างตรงจุด ผ่านการศึกษาและวิเคราะห์ทางการตลาดเชิงลึก เพื่อสร้างโอกาสเติบโตในระยะยาว

ซึ่งในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ได้มีการเริ่มต้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ วางแผนบริหารจัดการวัตถุดิบให้เพียงพอ ด้วยต้นทุนที่แข่งขันได้ และทดลองตลาดเรียบร้อยแล้ว ประเดิมด้วยการขยายผลิตภัณฑ์ Probio Pro Plus+ ในกลุ่มอาหารเสริมภายใต้แบรนด์ Nutralist เพิ่มเติมในกลุ่มคลีนิคและโรงพยาบาล และเตรียมวางตลาดผลิตภัณฑ์ HVP ในปีนี้ 2 ผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ตัวทำละลายชีวภาพ ภายใต้แบรนด์ BioSovel และผลิตภัณฑ์สารเพิ่มความชุ่มชื้นกลุ่มเคมีชีวภาพ ที่เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอาง โดยใช้ประโยชน์จากการนำเครื่องจักรอุปกรณ์ที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด (Asset Utilization) คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ทั้งปีมากกว่า 20,000 ล้านบาท และมีอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA Margin) ที่ 4% ใกล้เคียงกับปีก่อน 

พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ได้วางแผนดำเนินงาน 5 ปีนี้ (ปี 2568-72) โดยเตรียมความพร้อมเพื่อการขยายและสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจในระยะยาว ด้วยงบลงทุนไม่น้อยกว่า 1,500 ล้านบาท ทั้งเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิต ยกระดับศักยภาพเพื่อการเติบโตทุกด้าน รวมถึงการเพิ่มอัตรากำไร โดยอาศัยจุดแข็งการไม่มีหนี้สินทางการเงิน (Debt Free) มีฐานะการเงินที่แข็งแรง และการจัดหาเงินทุนในรูปแบบ Sustainability Financing เพื่อรองรับยุทธศาสตร์การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ตามที่วางแผนไว้

อย่างไรก็ตาม โครงการลงทุนสำคัญใช้ระยะเวลาในการศึกษาและก่อสร้างประมาณ 4 ปี การพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม ใช้ระยะเวลาในการทดลองตลาดและสร้างฐานลูกค้า ประมาณ 3-5 ปี ซึ่งจากแผนกลยุทธ์ดังกล่าว บริษัทฯ จะเติบโตอย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรมตั้งแต่ปี 2572 เป็นต้นไป โดยตั้งเป้าหมายกำไรที่เป็นเงินสด (EBITDA) จากผลิตภัณฑ์ HVP และผลิตภัณฑ์ใหม่เติบโตไม่น้อยกว่า 15% ในปี 2573