1672 จำนวนผู้เข้าชม |
บมจ. นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) ประกาศผลดำเนินงานงวดไตรมาสแรกปี 2568 มีกำไรสุทธิ 608.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้น 69% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) แต่หากตัดรายการพิเศษออกไป จะมีกําไรปกติ 595 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% YoY และเพิ่มขึ้น 23% QoQ ทำสถิติสูงสุดในรอบ 6 ไตรมาส โดยการเติบโต YoY มีผลจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น 11% เป็น 127,090 ตัน ส่งผลให้รายได้จากการขายเติบโต 33% มาอยู่ที่ 8,698.0 ล้านบาท ส่วนการเติบโต QoQ มาจากราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น 4% หนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับเพิ่มจากระดับ 8.8% ในไตรมาสสุดท้ายปีก่อน เป็น 10.6%
พร้อมกันนี้ ผู้บริหารได้ออกมาเปิดเผยภาพรวมุรกิจในช่วงที่เหลือของปีว่า ได้มีการขายล่วงหน้าไปจนถึงปลายไตรมาส 3 แล้ว โดยมีคำสั่งซื้อในมือกว่า 400,000 ตัน แต่จากประเด็นมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ทำให้ลูกค้าบางส่วนมีการชะลอคำสั่งซื้อไป และอาจทำให้เป้าหมายปริมาณขายที่ตั้งไว้ในระดับ 500,000 ตัน ทำไม่ได้ตามแผน เห็นได้จากยอดคำสั่งซื้อในเดือนเมษายนลดลงเหลือเพียง 60% ก่อนจะฟื้นตัวกลับมาเป็น 75% หลังจากสหรัฐฯ และจีน สามารถหาข้อยุติชั่วคราวร่วมกันเป็นเวลา 90 วัน
อย่างไรก็ตาม หากมองภาพระยะยาว การที่ไทยเป็นแหล่งวัตถุดิบยางพาราอันดับ 1 ของโลก ทำให้แม้ว่าจะมีการปรับขึ้นภาษีจากสหรัฐฯ แต่บริษัทล้อยางยังคงมีความต้องการยางพาราอยู่ ทำให้การขายยังมีโอกาสเติบโตได้ แต่เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาลูกค้าจีนมากเกินไป และเพิ่มฐานลูกค้าในอนาคต บริษัทฯ ได้มีการหาลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุด ได้รับการรับรองโรงงานจากผู้ผลิตยางล้อจากอินเดียแล้ว 1 ราย และอยู่ระหว่างตรวจสอบอีก 1 ราย
ขณะเดียวกัน เพื่อจำกัดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของมาตรการภาษี บริษัทฯ ตัดสินใจเลื่อนแผนก่อสร้างโรงงานยางแท่งแห่งที่ 3 ในครึ่งหลังปีนี้ออกไปเป็นต้นปีหน้า และหันมาปรับปรุงโรงงานเดิมเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 15% แทน รวมถึงเลื่อนแผนเปิดโรงงานในโกตดิวัวร์ (Cote d'Ivoire) ออกไปด้วย เนื่องจากหากมีโรงงานต่างประเทศอาจทำให้อัตราภาษีเพิ่มจากปัจจุบันที่ 3-5% ขึ้นไปเป็น 15% จากการใช้เกณฑ์ Global minimum tax ตอกย้ำให้เห็นความรอบคอบและระมัดระวังของผู้บริหาร เพื่อจัดการธุรกิจให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน