1375 จำนวนผู้เข้าชม |
นายรวี บุญสินสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. บีซีพีจี (BCPG) เปิดเผยว่า เพื่อเดินหน้าสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำด้านพลังงานสะอาดในเอเชีย ตามวิสัยทัศน์ระยะยาวที่วางไว้ ล่าสุด บริษัทฯ ได้เข้าไปลงทุนเพิ่มในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm) 2 แห่ง ในเมืองไถ่หนาน ของไต้หวัน ด้วยการซื้อหุ้นในสัดส่วน 100% ในบริษัท Xiao Zhi และบริษัท Wang Heng เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้กำลังการผลิตไฟฟ้ารวมในไต้หวันเพิ่มเป็น 469 เมกะวัตต์ (MW) คาดว่าจะสามารถเดินเครื่องผลิตและขายไฟฟ้าเฟสแรกราว 108 MW ปลายปีนี้ ตามแผนที่วางไว้
ทั้งนี้ บริษัท Xiao Zhi ได้สิทธิพัฒนาโรงไฟฟ้าขนาดกำลังการผลิต 200 MW โดยกำลังอยู่ในระหว่างก่อสร้างโรงไฟฟ้า อีกทั้งยังมีสิทธิเช่าที่ดินเพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้า Solar Farm กำลังการผลิต 83 MW เพิ่มเติม ซึ่งล่าสุด อยู่ในระหว่างการขอใบอนุญาต คาดว่าจะสามารถเริ่มก่อสร้างได้ภายในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ส่วนบริษัท Wang Heng ได้สิทธิในการเช่าที่ดินเพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาดกำลังการผลิต 25 MW กำหนดยื่นขอใบอนุญาตและเริ่มก่อสร้างโรงไฟฟ้าภายในไตรมาสแรกปีหน้า
สําหรับผลดำเนินงานงวดไตรมาสแรกปี 2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 152.6 ล้านบาท ลดลง 65.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) และลดลง 6.9% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) แต่หากตัดรายการพิเศษออกไป จะมีกำไรจากการดำเนินงาน 197.8 ล้านบาท ลดลง 42.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) และลดลง 13.1% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ตามรายได้จากการดำเนินงานที่ลดลง 38.8% YoY และ 20.6% QoQ เหลือ 730.9 ล้านบาท โดยการลดลง QoQ น้อยกว่า YoY เกิดจาก 2 สาเหตุ ประการแรก ไม่มีผลดำเนินงานจากธุรกิจโรงไฟฟ้าในญี่ปุ่นเหมือนไตรมาสแรกปีก่อน ผลจากการที่บริษัทฯ ขายหุ้นทั้งหมดตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายนปีก่อน ประการที่สอง โรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติในอเมริกา มีอัตราการทำกำไรต่อหน่วยสูงขึ้น ทั้งที่ปริมาณการผลิตจะลดลงจากการปิดซ่อมบำรุงตามแผน ขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานลมทั้งในและต่างประเทศ ได้แรงหนุนจากลมที่แรงตามปัจจัยฤดูกาล ผลักดันให้ปริมาณขายและอัตราความสามารถผลิตไฟฟ้า QoQ สูงกว่า YoY