2630 จำนวนผู้เข้าชม |
นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN) เปิดเผยแนวโน้มธุรกิจในช่วง 3 ไตรมาสที่เหลือของปีนี้ว่า น่าจะเห็นผลดำเนินงานทยอยปรับตัวดีขึ้น จากการที่ราคาสาหร่ายที่จะเริ่มใช้ตั้งแต่ปลายไตรมาส 2 เป็นต้นไป อ่อนตัวลงจากปีก่อนราว 5-10% อีกทั้งบริษัทฯ มีการบริหารความเสี่ยงล่วงหน้า ด้วยการเจรจากับซัพพลายเออร์หลายราย เพื่อให้มีวัตถุดิบเพียงพอต่อการผลิต รวมถึงเดินหน้าควบคุมค่าใช้จ่าย และบริหารต้นทุนในการขายให้สอดคล้องกับยอดขาย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้พร้อมรับมือความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และภาวะการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ทั้งในตลาดจีน อเมริกา อินโดนีเซีย หรือเวียดนาม รวมถึงการเจาะตลาดใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น เน้นไปที่ยุโรปตะวันตก และกลุ่มสหราชอาณาจักร
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ จะมุ่งเน้นกิจกรรมส่งเสริมการตลาดที่มีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการเพิ่มช่องทางกระจายสินค้า และเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มสาหร่าย (Seaweed) และกลุ่มสินค้าที่ไม่ใช่สาหร่าย (Non-seaweed) ราว 40 รายการ (SKUs) โดยจะเน้นกลุ่ม Non-Seaweed มากขึ้น ผ่านผลิตภัณฑ์ถั่วลายเสือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโพรไบโอติก และการเข้าไปพัฒนาสินค้ากลุ่มแครกเกอร์ และข้าวตัง ร่วมกับ บมจ. เจ้าสัว ฟู้ดส์ อินดัสทรี (CHAO) เพื่อต่อยอดไลน์สินค้าใหม่ๆ เพื่อเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ให้สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม ช่วยผลักดันยอดขายให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ประการสำคัญ บริษัทฯ จะหันมาเน้นทำตลาดในประเทศมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากสถานการณ์ต่างๆ ที่รุมเร้าตลาดต่างประเทศ พร้อมกับปรับลดเป้าการเติบโตของยอดขายต่างประเทศลงมาที่ 5-7% แต่เพิ่มเป้ายอดขายในประเทศขึ้นมาเป็น 10-15% ซึ่งจะมีผลให้รายได้รวมทั้งปีเติบโตจากปีก่อน 7-10%
สำหรับผลดำเนินงานงวดไตรมาสแรกปี 2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 98.5 ล้านบาท ลดลง 66% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) และลดลง 29% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) สาเหตุจากยอดขายในต่างประเทศ ที่มีสัดส่วนรายได้ราว 58% ปรับลดลง 12.4% YoY และ 11.2% QoQ มาอยู่ที่ 772.9 ล้านบาท ถูกกดดันจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการชะลอตัวของการบริโภค การแข่งขันที่รุนแรง การชะลอคำสั่งซื้อทั้งที่เกิดจากความกังวลมาตรการภาษี และการส่งคำสั่งซื้อที่สูงช่วงปลายปีก่อน เพื่อรองรับยอดขายเทศกาลปีใหม่และตรุษจีน หรือเงินบาทแข็งค่าขึ้น ฉุดให้รายได้จากการขายโดยรวม ลดลง 2.2% YoY และ 9.0% QoQ ประกอบกับการที่ราคาสาหร่าย ที่เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตสินค้า ทั้งราคาปี 2566 ที่ใช้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 กับราคาสาหร่ายที่ซื้อในปี 2567และถูกใช้ต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกปีนี้ มีต้นทุนต่างกันมากกว่า 50% และยังไม่อาจปรับราคาขายให้สอดคล้องกับต้นทุนได้มากพอ ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดจาก 39.7% ในไตรมาสแรกปีก่อน และ 27.6% ในไตรมาสสุดท้ายปีก่อน ลงมาอยู่ที่ 27.0% อีกทั้งสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เคยได้รับหมดอายุลงตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปีก่อน ส่งผลให้ภาระภาษีเพิ่มสูงขึ้น