นักวิเคราะห์หลักทรัพย์เชื่อ PCE ไตรมาส 2 โตเด่น และน่าจะทำรายได้ทั้งปีแตะ 3 หมื่นล้านบาทตามแผน

1542 จำนวนผู้เข้าชม  | 

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์เชื่อ PCE ไตรมาส 2 โตเด่น และน่าจะทำรายได้ทั้งปีแตะ 3 หมื่นล้านบาทตามแผน


 

 
นายพรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล (ที่ 5 จากขวา) รองกรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ พร้อมกับนายกีรติ ไชยะกุล (ที่ 5 จากซ้าย) ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานบัญชีและการเงิน บมจ. เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ (PCE) ผู้นำอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มแบบครบวงจร ที่มีความพร้อมการจัดการระบบซัพพลายเชน จัดการประชุมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ และผู้จัดการกองทุน (Analyst Meeting) จัดขึ้นที่ Maybank Park Silom กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้ เพื่ออัพเดทสถานการณ์ธุรกิจ และแผนดำเนินงานช่วง 3 ไตรมาสที่เหลือของปี โดยเฉพาะไตรมาส 2 ซึ่งมีสัญญาณสดใส หนุนจากปริมาณส่งออกน้ำมันปาล์มไปจีนและอินเดียที่เติบโตอย่างโดดเด่น รวมถึงการเดินหน้าขยายกำลังการผลิต เพิ่มมูลค่าสินค้า ควบคู่ไปกับการขยายช่องทางจำหน่ายให้เพียงพอกับความต้องการบริโภคที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการสร้างโอกาสใหม่จากการร่วมลงทุนกับกลุ่มนิชชิน โอลีโอ (Nisshin Oillio) ยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่น ช่วยเจาะกลุ่มร้านอาหารญี่ปุ่น พร้อมกับต่อยอดผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม (High Value-Added Products) โดยยังคงให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการบริหารจัดการสินค้าคงคลังให้เหมาะสม เพื่อบริหารความเสี่ยงจากมาตรการภาษีของอเมริกาอย่างรัดกุม

หลังจากนั้น นักวิเคราะห์หลักทรัพย์จากหยวนต้า (YUANTA) และไอร่า (AIRA) ได้ออกบทวิเคราะห์หุ้น ชี้ว่า แนวโน้มผลดำเนินงานงวดไตรมาส 2 ของ PCE มีแนวโน้มเติบโตโดดเด่นกว่าไตรมาสแรกจริง หนุนจากปริมาณการส่งออกน้ำมันปาล์มที่แข็งแกร่ง และการไม่มีผลขาดทุนสต๊อกกดดันเหมือนในไตรมาสแรก ก่อนจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง ขานรับการเพิ่มกำลังการผลิต รวมถึงการขยายฐานได้จากผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่ม และการได้ประโยชน์จากราคาปาล์มเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น อานิสงค์จากมาตรการขึ้นภาษีส่งออกน้ำมันปาล์มของอินโดนีเซีย ที่เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลก มีผลตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา และการปรับอัตราส่วนผสมไบโอดีเซลในประเทศ จาก B5 เป็น B7 ที่รอแค่เพียงการประกาศใช้ ช่วยขับเคลื่อนให้รายได้เติบโตขึ้นมาแตะ 30,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้ และสามารถเก็งกำไรได้ เพราะราคาหุ้นมีการปรับฐานลงมา ตอบรับทั้งการที่ผลดำเนินงานงวดไตรมาสแรกออกมาผิดคาด เพราะไม่มีการส่งออก และการปรับฐานของตลาดหุ้นไทยเพราะไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆ เข้ามากระตุ้นตลาด ทำให้มีความเสี่ยงขาลง (Downsize risk) ค่อนข้างจำกัดแล้ว โดย YUANTA ให้ราคาเหมาะสมที่ 3.10 บาท ขณะที่ AIRA ประเมินราคาที่่ 3.60 บาท

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้