35 จำนวนผู้เข้าชม |
นายกิตติคุณ รอดรังนก ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บมจ. แบงคอก จีโนมิกส์ อินโนเวชั่น (BKGI) เปิดเผยแผนธุรกิจช่วงครึ่งหลังปี 2568 ว่า พร้อมเดินหน้าขยายตลาดในการขายเครื่องมือห้องปฏิบัติการพร้อมน้ำยารายเดือน และการขายน้ำยาเฉพาะทางที่ใช้ในห้องปฏิบัติการ ให้เพียงพอกับความต้องการของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เติบโตเพิ่มมากขึ้น รวมถึงเร่งก่อสร้างห้องปฏิบัติการแห่งใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจคัดกรองทางพันธุกรรม และการตรวจหาความเสี่ยงจากโรคต่างๆ เช่น มะเร็ง อัลไซเมอร์ สร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจ ตลอดจนรุกขยายการให้บริการด้านการแพทย์จีโนมิกส์ใหม่ๆ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการเติบโตในระยะยาว หลังจากในครึ่งปีแรก สามารถสร้างความร่วมมือหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น การร่วมมือกับคณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์คาร์ทีเซลล์ การร่วมมือกับสถาบันวิจัยและประเมินเทคโนโลยีทางการแพทย์ กรมการแพทย์ เพื่อรับจ้างเหมาตรวจทางห้องปฎิบัติการ การยกระดับการตรวจคัดกรองและการรักษาโรคอัลไซเมอร์ ร่วมกับบริษัท เอไซ ประเทศไทย หรือการร่วมกับบริษัท เอ็มจีไอ เทค เพื่อขยายการให้บริการผ่านแพลตฟอร์ม NGS (Next Generation Sequencing)
ล่าสุด บริษัทฯ สามารถขยายความร่วมมือกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อยกระดับคลินิกเทคนิคการแพทย์แบงคอกจีโนมิกส์ ให้เป็นหน่วยบริการรับส่งต่อการตรวจ NIPT (Non-Invasive Prenatal Testing) ในระบบ สปสช. ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสิทธิประโยชน์หลักสำหรับหญิงตั้งครรภ์ โดยใช้เทคนิค NGS ที่ไม่มีการรุกล้ำ มีมาตรฐานความปลอดภัยต่อทารกในครรภ์ และมีความแม่นยำกว่า 99% โดยเพื่อจูงใจให้เกิดการให้บริการอย่างแพร่หลาย สปสช. ได้ปรับเพิ่มอัตราค่าบริการตรวจ NIPT จากเดิม 1,700 บาท เป็น 2,700 บาท ทำให้บริษัทฯ คาดว่า จะสามารถตรวจคัดกรอง NIPT ตามโครงการ สปสช. ได้ราว 3 หมื่นราย ช่วยสนับนุนให้รายได้ปีนี้เติบโตจากปีก่อน 15-20% ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
สำหรับผลดำเนินงานครึ่งปีแรก บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 12.42 ล้านบาท ลดลง 47% จากครึ่งแรกปีก่อน ถูกกดดันจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้น 20% เป็น 53.61 ล้านบาท สาเหตุจากการเพิ่มทีมขาย และการลงทุนวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการให้บริการใหม่ที่มีแผนจะเปิดตัวในอนาคต สวนทางรายได้รวมที่ลดลง 3% มาอยู่ที่ 152.33 ล้านบาท หลักๆ มาจากรายได้จากการให้บริการตรวจคัดกรองความผิดปกติทางพันธุกรรมด้านอนามัยเจริญพันธุ์ที่ลดลง จากภาวะการแข่งขันในตลาดที่สูงขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม รายได้จากการขายเครื่องมือห้องปฏิบัติการพร้อมน้ำยารายเดือน และการขายน้ำยาเฉพาะทางที่ใช้ในห้องปฏิบัติการ ยังเติบโตแข็งแกร่ง ทำให้สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ในระดับ 42% ใกล้เคียงครึ่งแรกปีก่อน