2011 จำนวนผู้เข้าชม |
นายนันท์มนัส วิทยศักดิ์พันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น (SINO) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เข้าซื้อกิจการ บริษัท เอ.เอส. โลจิสติคส์ (ASL) ซึ่งทำธุรกิจตัวแทนจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางอากาศ (Air Freight Forwarder) ผ่านบริษัทย่อย เอสเอ็นซี คาร์โก้ เซอร์วิสเซส (SNC) ด้วยงบลงทุน 35 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำธุรกิจขนส่งทางอากาศ (Air Freight) ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยอาศัยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของทีมผู้บริหาร ASL ในธุรกิจ Air Freight Forwarder ร่วมกับพันธมิตร 5 สายการบิน ครอบคลุมเส้นทางในภูมิภาคเอเชีย ยุโรป และอเมริกา ที่ยาวนานกว่า 26 ปี มาผนึกกำลังเข้ากับความชำนาญในการให้บริการขนส่งสินค้าทางทะเล (Sea Freight) และการให้บริการสนับสนุนงานบริการโลจิสติกส์ โดยเฉพาะการให้บริการคลังสินค้า ของกลุ่มบริษัทฯ และเครือข่ายในต่างประเทศ ช่วยยกระดับการให้บริการที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเดิม และลูกค้าใหม่ๆ ได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และบรรลุเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจ Air Freight ขึ้นมาเป็น 5% ของรายได้จากการให้บริการทั้งหมด ภายใน 3-5 ปีข้างหน้า ตามแผนที่วางไว้ พร้อมต่อยอดการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
สำหรับการลงทุนครั้งนี้ จะทำให้บริษัทฯ เริ่มรับรู้รายได้ในเดือนกันยายนทันที ก่อนรับรู้เต็มไตรมาสเป็นครั้งแรกในงวดไตรมาสสุดท้ายปีนี้ จากเป้ารายได้ทั้งปีที่คาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 200 ล้านบาท ในปีหน้า ตามความต้องการขนส่งทางอากาศช่วงครึ่งหลังปีนี้ต่อเนื่องปีหน้าที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขานรับการฟื้นตัวของธุรกิจการบิน และการเพิ่มเที่ยวบินระหว่างประเทศ ทำให้พื้นที่ระวางสินค้าเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อการหารายได้จากการขายระวางสินค้าสายการบิน (Cargo General Sales Agent - GSA) และการมีต้นทุนในการให้บริการ Air Freight ที่ลดลง อีกทั้งการเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ SINO ยังช่วยให้ ASL สามารถเพิ่มทีมขาย และเพิ่มความร่วมมือกับสายการบินต่างๆ สร้างโอกาสในการขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นตามไปด้วย


ขณะที่ภาพรวมธุรกิจขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะ Sea Freight เส้นทางไทย-อเมริกา ช่วงที่เหลือปีนี้ น่าจะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก ที่ถูกกดดันจากการปรับขึ้นอัตราภาษีการค้าของอเมริกา ส่งผลให้ปริมาณขนส่งชะลอตัวเหลือ 22,805 ตู้ หนุนจากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจในครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะในไตรมาส 3 รวมถึงผลสำเร็จจากการเดินทางไปอเมริกาเพื่อพบปะคู่ค้าและพันธมิตร ทำให้สามารถเจรจาเพิ่มปริมาณการขนส่งสินค้าขึ้นปีละ 1,000 ตู้ และการเร่งเพิ่มปริมาณขนส่งทางทะเลในมาเลเซียจากเฉลี่ยเดือนละ 700 ตู้ เป็น 800 ตู้ และรักษาปริมาณขนส่งทางทะเลในเวียดนามให้ได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 250 ตู้ หลังจากประเทศต่างๆ ได้บทสรุปชัดเจนเรื่องอัตราจัดเก็บภาษีของอเมริกาที่ชัดเจน รวมถึงการเป็นผู้ให้บริการขนส่งทางทะเลเพียงรายเดียวในกัมพูชาที่ยังสามารถส่งสินค้าได้อย่างต่อเนื่อง หนุนให้ปริมาณขนส่งสินค้าทางทะเลปีนี้ น่าจะทำได้ราว 49,000 ตู้ ลดลงจากที่คาดไว้ช่วงต้นปีที่ 50,000 ตู้
อย่างไรก็ตาม การลงทุนขยายพื้นที่ให้บริการคลังสินค้าปลอดอากร (Free Zone) แห่งใหม่ ในท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ในเดือนตุลาคมนี้ ขนาดพื้นที่เกือบ 6,000 ตารางเมตร ทำให้พื้นที่คลังสินค้ารวมเพิ่มเป็นกว่า 33,000 ตารางเมตร จะช่วยให้บริษัทฯ สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ที่ 14-15% ส่งผลให้รายได้ทั้งปีเติบโตจากปีก่อนไม่ต่ำกว่า 15% ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4,300 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้
พร้อมกันนี้ การลงทุนขยายคลังสินค้าปลอดอากรแห่งใหม่ ในจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อกระจายทำเลและขยายพื้นที่คลังสินค้ารวมเป็น 50,000 ตารางเมตร รวมถึงการลงทุนเทคโนโลยีดิจิทัล ภายใต้โครงการ VOYA ทั้งเพื่อลดต้นทุนในการดำเนินงาน และเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ และการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน และสำนักงานที่อินโดนีเซีย ภายในครึ่งแรกปีหน้า ตลอดจนมีการเจรจากับพันธมิตรใหม่ๆ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งขับเคลื่อนรายได้ขึ้นมาแตะ 10,000 ล้านบาท ภายในปี 2573 ตามโรดแมปที่วางไว้