หุ้นกู้ดิทัล SCGP อายุ 2 ปี 10 เดือน ให้ดอกเบี้ย 2.8% ขายได้หมด

หลังจากนายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) ประกาศว่า บริษัทฯ พร้อมเสนอขายหุ้นกู้ดิจิทัล ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อายุ 2 ปี 10 เดือน ให้ดอกเบี้ยปีละ 2.80% จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน วงเงินรวม 5,000 ล้านบาท ผ่านแอปพลิเคชั่น "เป๋าตัง" ของ บมจ. ธนาคารกรุงไทย (KTB) ในวันที่ 26-27 กรกฎาคมนี้ เพื่อนำเงินทุนที่ได้มาเสริมศักยภาพในการดำเนินธุรกิจให้เติบโต รวมถึงการบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อบรรลุเป้าหมายธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ซึ่งทางกรุงไทยได้เปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้นกู้ดิจิทัล SCGP พร้อมกันวันที่ 26 กรกฎาคม ตั้งแต่เวลา 08.30 น. ไปจนกว่าจะมีผู้จองซื้อหุ้นกู้เต็มตามจำนวนที่เสนอขาย แต่ไม่เกินวันที่ 27 กรกฎาคม เวลา 15.00 น. โดยกำหนดจำนวนจองซื้อขั้นต่ำ 10,000 บาท ทวีคูณครั้งละ 10,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 25 ล้านบาทต่อราย โดยหุ้นกู้จะถูกจัดสรรให้กับผู้ที่จองซื้อและชำระเงินค่าจองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอปฯ ได้สำเร็จตามลำดับการจอง หรือ "จองก่อน ได้ก่อน”

ล่าสุด นายรวินทร์ บุญญานุสาสน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน KTB ออกมายืนยันว่า สามารุปิดยอดขายหุ้นกู้ดิจิทัล SCGP เรียบร้อยแล้ว โดยมีผู้จองซื้อทั้งหมด 11,144 คน กระจายตัวไปในทุกจังหวัดทั่วประเทศ แบ่งเป็นกรุงเทพฯ  51.66% และต่างจังหวัด 48.34% โดยผู้ลงทุนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุ หรือ อายุ 60 ปีขึ้นไป คิดเป็น 22.94% ของจำนวนผู้ซื้อทั้งหมด ส่วนกลุ่ม First Jobber อายุ 20-29 ปี มีสัดส่วน 6.31% ของจำนวนผู้จองซื้อทั้งหมด

ผู้บริหาร KTB ยังบอกอีกว่า ผู้ลงทุนที่จองซื้อสำเร็จ สามารถตรวจสอบรายการจองซื้อได้ ในวอลเล็ตซื้อขายหุ้นกู้ ผ่านเมนู "รายการย้อนหลัง" โดยรายการจะแสดงในวอลเล็ตของผู้ลงทุนในวันที่ 1 สิงหาคม ซึ่งนับเป็นวันออกหุ้นกู้วันแรก สำหรับผู้ลงทุนที่พลาดโอกาสจองซื้อไป สามารถซื้อขายในตลาดรองได้ ผ่านแอปฯ เป๋าตัง ตลอด 24 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมเช่นกัน

ทั้งนี้ หุ้นกู้ดิจิทัลของ SCGP ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ A+(tha) จาก ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประเทศไทย เพราะความเป็นผู้นำธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรในภูมิภาค และได้ลงทุนขยายการเติบโตในภูมิภาคอาเซียนและยุโรปอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการบรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น และขยายฐานลูกค้าในกลุ่มสินค้าที่มีแนวโน้มเติบโต เช่น กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค กลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพและวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ ฯลฯ ทำให้มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน