3053 จำนวนผู้เข้าชม |
นายปิติ จารุกำจร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บมจ. วัน ออริจิ้น (ONEO) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้แต่งตั้ง บมจ. ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และได้ยื่นแบบคำขออนุญาตออกและเสนอขายหลักทรัพย์ และร่างแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งสิ้น 702.80 ล้านหุ้น แบ่งเป็นหุ้นที่เสนอขายต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 675.66 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 26.0% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ โดยมีมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท
ส่วนหุ้นที่เหลือจะจัดสรรให้กับแก่กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานในเครือ บมจ. ออริจิ้น พร๊อพเพอร์ตี้ (ORI) และกลุ่ม ONEE แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนในส่วน ORI และบริษัทย่อย 22.70 ล้านหุ้น และกลุ่ม ONEO และบริษัทย่อย 4.43 ล้านหุ้น ตามโครงการ ESOP ที่ราคาเดียวกับที่เสนอขายประชาชนทั่วไป พร้อมกับจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนอีก 4.6 ล้านหุ้น เพื่อรองรับการใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน ตามโครงการ ESOP Warrant ซึ่งหากมีการใช้สิทธิแปลงสภาพ ESOP Warrant ทั้งจำนวน จะทำให้ ONEO มีทุนชำระแล้วเพิ่มเป็น 1,353.7 ล้านบาท
ทั้งนี้ ONEO ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้านโรงแรมและบริการ (Hospitality) และอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า ถือเป็นเรือธงในการสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ให้กับ ORI โดยมีรายได้จากการให้บริการ 4 กลุ่มธุรกิจ ประกอบไปด้วยกลุ่มธุรกิจโรงแรม และเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ (Serviced Apartment) ซึ่งเปิดดำเนินการแล้ว 7 โครงการ ด้วยจำนวนห้องพัก 1,579 ห้อง และอยู่ระหว่างการพัฒนารอเปิดดำเนินการ 12 โครงการ คิดเป็นห้องพักรวม 4,343 ห้อง
กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ มีพื้นที่ค้าปลีก เปิดดำเนินการแล้ว 1 โครงการ ขนาดพื้นที่เช่า 2,053 ตารางเมตร และอยู่ระหว่างการพัฒนารอเปิดดำเนินการอีก 4 โครงการ ด้วยขนาดพื้นที่เช่ารวม 16,720 ตารางเมตร ส่วนอาคารสำนักงานเตรียมเปิดดำเนินการ 2 แห่ง พื้นที่เช่าประมาณ 59,869 ตารางเมตร
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม 5 ร้าน อยู่ระหว่างรอเปิดดำเนินการอีก 4 ร้าน และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงการให้บริการด้านการบริหารโครงการในกลุ่มธุรกิจของ ONEO จำนวน 12 บริษัท และการบริหารจัดการโปรแกรมการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ (Investment Property) หรือโปรแกรมแฮมป์ตันรวม 7 โครงการ และอยู่ระหว่างรอดำเนินการอีก 6 โครงการ โดยทุกกลุ่มธุรกิจกระจายตัวในแหล่งท่องเที่ยวหลัก ทั้งกรุงเทพฯ ภูเก็ต กระบี่ หัวหิน และพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC
ส่วนผลดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปีล่าสุด (ปี 2563-65) มีการเติบโตของรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่อง จาก 82.7 ล้านบาท ในปี 2563 เพิ่มเป็น 688.3 ล้านาท และ 966.3 ล้านบาท ในปี 2564 และ 2565 ตามลำดับ ส่งผลให้สามารถพลิกจากขาดทุนสุทธิ 62.2 ล้านบาท ในปี 2563 มาเป็นกำไรสุทธิ 304 ล้านบาท และ 312.4 ล้านบาท ในปี 2564 และ 2565 ตามจำนวนโครงการที่เปิดดำเนินการเพิ่มขึ้น และสถานการณ์โควิดที่ผ่อนคลายมากขึ้น
สำหรับวัตถุประสงค์ในการระดมทุน บริษัทฯ มีแผนนำเงินทุนไปใช้พัฒนาโครงการ รวมถึงชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน และบริษัทแม่ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวี ยนรองรับโอกาสทางธุรกิจ เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้านโรงแรมและบริการ (Hospitality) ที่สามารถตอบทุกความต้องการของลูกค้า และสร้างผลตอบแทนที่เติบโตอย่างยั่งยืนต่อผู้ลงทุน ควบคู่กับการดูแลพนักงาน พันธมิตร และรับผิดชอบต่อสังคม