ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง COCOCO ขาย IPO 370 ล้านหุ้น ตอกย้ำความเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวและผลไม้รายใหญ่ และขยายประเภทสินค้า

นายเสกสรรค์ ธโนปจัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟิน พลัส แอดไวเซอรี่ (Fin+) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ. ไทย โคโคนัท (COCOCO) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะพร้าวและผลไม้รายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่า คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ได้นับหนึ่งไฟลิ่ง COCOCO เพื่อขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 370 ล้านหุ้น คิดเป็น 25.17% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด โดยมีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หมวดธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ภายในปีนี้

สำหรับวัตถุประสงค์ในการระดมทุนของ COCOCO เพื่อนำเงินทุนไปใช้ขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว โดยซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อขยายกำลังการผลิตน้ำมะพร้าวจากปีละ 110,000 ตัน เป็นปีละ 218,000 ตัน รวมถึงขยายคลังสินค้าเพื่อรองรับการจัดเก็บผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าว อีกส่วนหนึ่งนำไปลงทุนซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อขยายประเภทสินค้า ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ขนมกินเล่นของสุนัขและแมว ผลิตภัณฑ์ไอศกรีม ที่เหลือนำไปชำระคืนเงินกู้สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ (Working Capital) สำหรับการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ และบริษัทย่อย 

ด้าน ดร.วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร COCOCO ชี้แจงว่า บริษัทฯ ทำธุรกิจหลัก 2 ประเภท คือ ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่แปรรูปจากมะพร้าวและผลไม้รายใหญ่ของไทย เช่น กะทิบรรจุกระป๋อง กะทิบรรจุกล่องยูเอชที (UHT) กะทิพาสเจอร์ไรส์ น้ำมะพร้าวบรรจุกระป๋อง น้ำมะพร้าวกล่องยูเอชที (UHT) น้ำมะพร้าวพาสเจอร์ไรส์ ขนมมะพร้าว และอาหารสำเร็จรูปภายใต้ตราสินค้า Thaicoco, Cocoburi รวมถึงการผลิตสินค้าเพื่อการอุตสาหกรรม ในรูปแบบรับจ้างผลิต (OEM) กับผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกเพื่อสุขภาพ สำหรับสุนัขและแมว ทั้งแบบจำหน่ายภายใต้แบรนด์ตัวเอง Moochie และรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) จำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ และเริ่มขยายธุรกิจสู่การผลิตและจำหน่ายสินค้าอาหารเพื่อสุขภาพจากโปรตีนพืช รวมถึงผลิตภัณฑ์ชีสและเนยประเภทต่างๆ ที่ทำจากพืช  

ขณะที่จุดเด่นของ COCOCO อยู่ที่การมีฐานลูกค้าต่างประเทศ 90 ประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นยุโรป อเมริกาเหนือและใต้ เอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง โอเชียเนีย หรือแอฟริกา และยังมีฐานลูกค้าในประเทศที่อยู่ในอุตสาหกรรมอาหารและเป็นตัวแทนส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ มาช่วยผลักดันยอดขาย ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นขยายตลาดใหม่ๆ และขยายสินค้าใหม่เพิ่มในแต่ละประเทศมากขึ้น ผลักดันให้กำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง จาก 69.46 ล้านบาท ในปี 2563 เพิ่มเป็น 241.88 ล้านบาท และ 302.22 ล้านบาท ในปี 2564 และ 2565 ตามลำดับ ขณะที่อัตรากำไรสุทธิ เพิ่มจาก 2.29% เป็น 6.95% และ 8.94% ตามลำดับ ทั้งที่รายได้รวม มีความผันผวนบางปี หลังจากเร่งตัวจาก 3,036.33 ล้านบาท ในปี 2563 ปรับขึ้นมาที่ 3,481.71 ล้านบาท และ 3,381.16 ล้านบาท ในปี 2564 และ 2565 ตามลำดับ

ส่วนไตรมาสแรกปีนี้ บริษัทฯ มีรายได้รวมที่ 859.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 2.36% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และมีกำไรเพิ่มขึ้น 8.55% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เป็น 66.90 ล้านบาท โดยฐานรายได้หลักมาจากการส่งออกในสัดส่วน 79% และการจำหน่ายในประเทศในสัดส่วน 21%