5074 จำนวนผู้เข้าชม |
นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ (Capital One) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ. มาร์เก็ต คอนเน็กชั่นส์ เอเชีย (MCA) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เริ่มนับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (แบบ Filing) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น 26.09% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด ตั้งแต่วันที่ 31 สิงหาคมแล้ว ทำให้พร้อมเดินหน้าแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai) ภายในปีนี้
ทั้งนี้ MCA ถือเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด และการให้บริการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดภาคสนามอย่างครบวงจร สามารถตอบโจทย์ทางการตลาดให้กับลูกค้าครอบคลุมทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์ (Brand Awareness) การสร้างความเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้อุปโภคบริโภค (Customer Engagement) หรือการผลักดันยอดขาย (Boost Sales) ผ่านการให้บริการจาก 4 กลุ่มงาน
กลุ่มแรกเป็นการจัดกิจกรรมทางการตลาด การจัดงานอีเวนต์ ทั้งเพื่อนำเสนอสินค้า และสร้างการรับรู้ในสินค้า กลุ่มที่สอง เป็นการให้บริการนำสินค้า หรือผลิตภัณฑ์ส่งเสริมการขาย เช่น สินค้าตัวอย่าง สินค้าทดลอง สื่อประชาสัมพันธ์ มาบรรจุลงบรรจุภัณฑ์ และขนส่งสินค้าในรูปแบบพร้อมขายไปยังจุดจำหน่ายต่างๆ พร้อมทั้งบริการติดตั้งและรื้อถอนบูธแสดงสินค้า กลุ่มที่สาม เน้นการให้บริการพนักงานแนะนำสินค้า ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสินค้า รวมถึงนำเสนอรายการส่งเสริมการขาย (Sales Promotion) เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจซื้อ และผลักดันยอดขายสินค้าให้เป็นไปตามเป้าหมาย ครอบคลุมลูกค้ากว่า 109 บริษัท และสินค้ามากกว่า 133 แบรนด์ และกลุ่มสุดท้าย ให้บริการจัดเรียงสินค้า (Merchandiser) มีหน้าที่รับผิดชอบควบคุมดูแลสินค้าหน้าร้านให้เพียงพอต่อการขาย การตรวจสอบอายุของสินค้าหน้าร้าน การจัดเรียงสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐาน ตอบโจทย์ลูกค้า 49 บริษัท และสินค้า 53 แบรนด์
ความสามารถในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดภาคสนามอย่างครบวงจร มีเบื้องลึกจากการที่บริษัทฯ มีฐานข้อมูลพนักงานผู้ให้บริการภายนอก (Outsource) ที่สามารถปฏิบัติงานได้ทั่วประเทศ และมีประสบการณ์ในการให้บริการครอบคลุมสินค้าหลายแบรนด์ มากกว่า 9,100 คน พร้อมให้บริการของลูกค้า
ขณะที่นายภักดี เหล่างาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.มาร์เก็ต คอนเน็กชั่นส์ เอเชีย (MCA) เปิดเผยว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ครั้งนี้ บริษัทฯ มุ่งหวังจะยกระดับองค์กรขึ้นสู่มาตรฐานสากล มีการใช้นวัตกรรมดิจิทัล ผสมผสานเข้ากับการพัฒนาบุคลากร และการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อสร้างสรรค์และพัฒนาบริการให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุด เพื่อก้าวสู่ผู้นำและผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจบริการกิจกรรมทางการตลาดอย่างครบวงจร ตามวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ที่เชื่อว่าระบบที่ดีจะสร้างผลงานที่มีคุณภาพ และทีมงานที่ดีจะสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจ
ส่วนวัตถุประสงค์ในการระดมทุนในครั้งนี้ หลักๆ จะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะการก้าวสู่ธุรกิจใหม่ ด้วยการเข้าไปเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้า (Distributor) และจัดสรรบางส่วนเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ สำหรับสนับสนุนการดำเนินธุรกิจหลัก และธุรกิจใหม่ Distributor รวมถึงนำไปชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน เพื่อเพิ่มฐานะความมั่นคงทางการเงินให้กับบริษัทฯ ในระยะยาว
ผู้บริหาร MCA ขยายความแผนก้าวเข้าสู่ธุรกิจ Distributor ว่า บริษัทฯ จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างเจ้าของสินค้าและผู้บริโภค โดยเข้าไปมีส่วนร่วมกับเจ้าของสินค้าในการวางกลยุทธ์ทางการตลาดตั้งแต่ต้นน้ำ (Product Introduction) ไปจนถึงการกระจายสินค้าให้ไปถึงมือผู้บริโภค (Off Take) ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีผู้ประกอบการน้อยราย ทำให้มีโอกาสในการเติบโตสูง โดยตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นที่ 5–15% ผ่านการให้บริการใน 2 รูปแบบ
รูปแบบแรก คือ รูปแบบ Agent ซึ่งบริษัทฯดำเนินการในฐานะตัวแทนของลูกค้าบริหารจัดการเพื่อให้สินค้าจัดจำหน่ายในช่องทางการจัดจำหน่ายต่าง ๆ เช่น ร้านค้าปลีกดั้งเดิม (Traditional Trade) ร้านค้าปลีกแบบสมัยใหม่ (Modern Trade) และร้านสะดวกซื้อ (Convenience Store) โดยรายได้ที่บริษัทฯ ได้รับจะอยู่ในรูปแบบ Distribution Fee หรือ Distribution Commission คล้ายกับการค่าธรรมเนียมหรือค่านายหน้า และอัตราค่าตอบแทนที่เกี่ยวข้องจะถูกอ้างอิงกับยอดขายสินค้าเป็นหลัก
ส่วนรูปแบบที่ 2 รูปแบบ Principal ซึ่งบริษัทฯ จะเป็นผู้สั่งซื้อสินค้าจากลูกค้าเข้ามาบริหารภายในคลังสินค้าของบริษัทฯ พร้อมรับผิดชอบการกระจายสินค้า หรือส่งมอบสินค้าให้แก่ร้านค้าในแต่ละช่องทางจัดจำหน่าย และรับเงินจากการขายสินค้าในนามของบริษัทฯ เอง ซึ่งรูปแบบหลังจะสร้างรายได้ได้สูงกว่ารูปแบบ Agent แต่ก็ต้องใช้เงินลงทุนสูงกว่า
และก้าวแรกของธุรกิจ Distributor จะเริ่มเห็นผลตั้งแต่ไตรมาส 3 เพราะบริษัทฯ ได้รับโอกาสจากลูกค้าเดิมในกลุ่มธุรกิจของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ ให้เริ่มดำเนินการเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าในรูปแบบ Principal สำหรับสินค้า 7 แบรนด์ โดยมีขอบเขตการรับผิดชอบในการจัดจำหน่ายผ่านร้านค้าประเภทร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม (Traditional Trade) 13 จังหวัด และน่าจะเห็นความสำเร็จจากธุรกิจใหม่นี้มากขึ้นเรื่อยๆ ในระยะต่อไป
สำหรับผลดำเนินงานงวดครึ่งแรกปีนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการบริการรวม 210.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.72% จากครึ่งแรกปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 12.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 69.57% จากครึ่งแรกปีก่อน เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการจัดกิจกรรมทางการตลาดทั้งใน 4 กลุ่มธุรกิจ
ขณะที่ผลดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปีก่อนหน้านี้ (ปี 2563-65) ธุรกิจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดช่วงปี 2563 และปี 2564 กดดันให้รายได้จากการบริการรวมชะลอตัวจากช่วงก่อนเกิดโควิด ในปี 2562 ที่ทำได้ 331.67 ล้านบาท ลงมาเหลือ 235.62 ล้านบาท และ 224.07 ล้านบาท ตามลำดับ ก่อนฟื้นตัวขึ้นมาเป็น 372.65 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา และหนุนให้กำไรสุทธิพลิกฟื้นจาก 0.73 ล้านบาท และ 2.74 ล้านบาท ในปี 2563 และ 2564 ขึ้นมาเป็น 16.51 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา แต่ยังต่ำกว่ากำไรสุทธิที่ทำได้ 53.56 ล้านบาท ในปี 2562