4966 จำนวนผู้เข้าชม |
CPF ผลขาดทุนไตรมาส 3 น้อยกว่าคาด ไตรมาส 4 มีกำไรพิเศษ
บมจ. เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) รายงานผลขาดทุนสุทธิงวดไตรมาส 3 ปีนี้ที่ 1.8 พันล้านบาท เทียบกับขาดทุนสุทธิ 792 ล้านบาท ในไตรมาสก่อน (QoQ) และกำไรสุทธิ 5.1 พันล้านบาท ในไตรมาส 3 ปีก่อน (YoY) ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ ปัจจัยฉุดสำคัญในเชิง YoY คือการหดตัวของอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ในทุกกลุ่มธุรกิจ ขณะที่การลดลงเชิง QoQ มาจากอัตรากำไรขั้นต้นที่แคบลงในทุกกลุ่มธุรกิจ ยกเว้นธุรกิจปศุสัตว์ในต่างประเทศ
แต่หากตัดรายการพิเศษต่างๆ ออกไป บริษัทฯ จะมีผลขาดทุนจากการดำเนินงาน (ผลขาดทุนปกติ) ที่ 3.4 พันล้านบาท สูงขึ้นจากที่ขาดทุนปกติ 3.2 พันล้านบาท ในไตรมาสก่อนหน้า แต่พลิกจากกำไรปกติ 5.5 พันล้านบาท ในไตรมาส 3 ปีก่อน ตามราคาสุกรและไก่เนื้อที่ลดลงในประเทศหลักที่ดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะในไทยและจีน และกดดันให้ผลดำเนินงานงวด 9 เดือนปีนี้ มีผลขาดทุนสุทธิ 5.3 พันล้านบาท เทียบกับกำไรสุทธิ 1.2 หมื่นล้านบาท ในปีก่อน
สำหรับภาพระยะสั้น ไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ตลาดคาดผลดำเนินงานไตรมาสสุดท้ายปีนี้จะยังคงขาดทุนต่อเนื่อง แต่ฟื้นตัวดีขึ้น QoQ จากต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ลด ราคาไก่เริ่มสูงกว่าต้นทุน ราคาหมูไทยเริ่มฟื้นจากจุดต่ำสุดหลังปัญหาลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนเริ่มคลี่คลาย และคาดธุรกิจในต่างประเทศฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ก่อนจะพลิกกลับมาเป็นกำไร (turnaround) ในปีหน้า เพราะโครงสร้างรายได้จากหมูและไก่รวมกันสูงกว่า 80%
ในเบื้องต้น ค่ายกรุงไทย เอกซ์สปริง (KTX) และกสิกรไทย (KS) ยังคงราคาเป้าหมายที่ 20.57 บาท และ 21 บาท ซึ่งใกล้เคียงราคาเฉลี่ยตาม IAA Concencus ที่ให้ไว้ 22 บาท
อย่างไรก็ตาม การที่ CPF มีแนวทางแก้ปัญหาขาดทุนในจีน ด้วยการอนุมัติให้บริษัทย่อยของตัวเอง ขายเงินลงทุนใน 4 บริษัทที่ทำธุรกิจไก่ครบวงจรให้กับบริษัทเจียไต๋ ซีพี ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CPG) ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน CPF มูลค่าราว 2.1-2.2 พันล้านบาท จะช่วยให้งบการเงินรวมของ CPF มีผลบวก 2 ประเด็น คือ ฐานะการเงินมีระดับหนี้สินลดลง และส่วนของผู้ถือหุ้นสูงขึ้น จากการยกเลิกการรวมบัญชี และการรับชำระเงินกู้ยืม ขณะที่งบกำไรขาดทุนรวมจะไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป และรับรู้กำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุนในงบการเงินงวดไตรมาส 4 ราว 3.0 พันล้านบาท ซึ่งอาจพลิกให้ผลดำเนินงานรวมทั้งปีกลับมามีกำไรได้
หยวนต้า (YUANTA) ประเมินว่า การขายเงินลงทุนจะช่วยหนุนผลดำเนินงานของ CPF ได้ปีละ 600-1,000 ล้านบาท คิดเป็น upside ต่อราคาหุ้นปีหน้าราว 1.00-1.70 บาท แต่ในเบื้องต้นคงประมาณการกำไรปกติปีนี้ตามเดิม ทำให้คงราคาเหมาะสมที่ 24 บาท ซึ่งต่ำกว่าค่ายบัวหลวง (BLS) ที่ให้มูลค่าพื้นฐานไว้ที่ 26 บาท
BTG กำไรน่าจะ Bottom out ไตรมาส 4
บมจ. เบทาโกร (BTG) รายงานผลขาดทุนสุทธิงวดไตรมาส 3 ปีนี้ที่ 784 ล้านบาท เทียบกับขาดทุนสุทธิ 351 ล้านบาท ในไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และกำไรสุทธิ 2.3 พันล้านบาท ในไตรมาส 3 ปีก่อน (YoY) สอดคล้องกับที่ตลาดคาดไว้ สาเหตุหลักจากราคาสุกรที่ลดลง แต่หากไม่รวมรายการพิเศษ ผลขาดทุนปกติจะอยู่ที่ 765 ล้านบาท สูงขึ้นจากขาดทุนปกติ 263 ล้านบาท ในไตรมาสก่อนหน้า และพลิกจากกำไรปกติ 2.3 พันล้านบาท ในไตรมาส 3 ปีก่อน พร้อมกับกดดันให้ผลดำเนินงานงวด 9 เดือนปีนี้ ขาดทุนสุทธิ 742 ล้านบาท เทียบกับกำไรสุทธิ 6.1 พันล้านบาท ในปีก่อน
สำหรับภาพระยะสั้น ไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ตลาดคาดผลดำเนินงานไตรมาสสุดท้ายปีนี้จะทรงหรือเพิ่มเล็กน้อย QoQ เนื่องจากมีรายได้จากหมูและไก่รวมกันอยู่ที่ประมาณ 61% ก่อนก้าวข้ามจุดต่ำสุด (Bottom out) ตั้งแต่ไตรมาสแรกปีหน้าเป็นต้นไป
เบื้องต้น KTX คาดผลดำเนินงานทั้งปีขาดทุนสุทธิ 1.38 พันล้านบาท คิดเป็นราคาเหมาะสมที่ 22.76 บาท จากวิธี Earning yield ซึ่งใกล้เคียงราคาเฉลี่ยตาม IAA Concencus ซึ่งอยู่ที่ 23 บาท
ส่วน YUANTA คงราคาเหมาะสมที่ 25 บาท สำหรับ BLS ให้มูลค่าพื้นฐานสูงที่สุดที่ 33.50 บาท อิงสมมติฐานราคาหมูปีหน้าที่กิโลกรัมละ 80 บาท และคาดต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ลดต่อเนื่องตลอดครึ่งปีแรก ยอดส่งออกไก่ยังสดใสตามคำสั่งซื้อที่ยังเติบโตแข็งแกร่ง และเห็นการฟื้นตัวของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง
ขณะที่ KS ให้มูลค่าต่ำที่สุด เพียง 20.70 บาท อิง PER เฉลี่ยปี 2568 ที่ 12.9 เท่า หรือเทียบเท่า 0.5SD ต่ำกว่า PER ล่วงหน้าในอดีตของคู่แข่ง จากผลดำเนินงานรวมทั้งปีที่คาดขาดทุนสุทธิเฉียด 1.3 พันล้านบาท และปรับลดประมาณการกำไรปีหน้าลง 56% และปีถัดไปลง 29% เหลือกำไรสุทธิ 1.7 พันล้านบาท และ 3.1 พันล้านบาท ตามการปรับลดสมมติฐานยอดขายที่คาดเติบโตลดลงจากเดิม 8.9% และ 7.0% ตามลำดับ เช่นเดียวกับสมมุติฐานกำไรขั้นต้นที่ต่ำลงเหลือ 12.5% และ 13.6% ตามลำดับ
GFPT หุ้นตัวเดียวในกลุ่มที่ยังมีกำไร
บมจ. จีเอฟพีที (GFPT) รายงานกำไรสุทธิงวดไตรมาส 3 ปีนี้ที่ 319 ล้านบาท เทียบกับกำไรสุทธิ 348 ล้านบาท ในไตรมาสก่อน (QoQ) และกำไรสุทธิ 683 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ปีก่อน (YoY) สอดคล้องกับที่ตลาดคาดไว้ สาเหตุหลักจากการชะลอคำสั่งซื้อจากลูกค้าญี่ปุ่น และจีน ออกมาเป็นไตรมาสสุดท้ายปีนี้ กดดันให้ยอดส่งออกลดลง ประกอบกับราคาไก่เนื้อในประเทศลดลง และสัดส่วนกำไรจากบริษัทร่วมทุนก็ลดลง แต่หากไม่รวมรายการพิเศษ กำไรปกติจะอยู่ที่ 319 ล้านบาท ลดลงจากที่กำไรปกติ 333 ล้านบาท ในไตรมาสก่อนหน้า และกำไรปกติ 738 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ปีก่อน พร้อมกับฉุดให้ผลดำเนินงานงวด 9 เดือนปีนี้ กำไรสุทธิลดลงจาก 1.5 พันล้านบาท ในปีก่อน เหลือ 966 ล้านบาท
สำหรับภาพระยะสั้น ไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ตลาดคาดผลดำเนินงานไตรมาสสุดท้ายปีนี้จะดีขึ้นเล็กน้อย QoQ และค่อยๆ เห็นการฟื้นตัวดีขึ้นเป็นลำดับในปีหน้า
YUANTA บอกว่า มีมุมมองบวกมากขึ้นต่อภาพการฟื้นตัวของ GFPT หลังปัจจัยกดดันเริ่มคลายตัว และเห็นสัญญาณบวกทั้งจากราคาขายเฉลี่ยไก่ และโครงไก่ ในประเทศที่ดีขึ้น ขณะที่ราคาต้นทุนวัตถุดิบการเลี้ยงไก่ปรับลดลง จึงยังคงประมาณการกำไรปกติปีนี้ไว้ตามเดิมที่ 1,204 ล้านบาท (-41.9% YoY) แต่ปรับประมาณการกำไรปกติปีหน้าขึ้น 5.7% เป็น 1,395 ล้านบาท (+15.9% YoY) ทำให้ราคาหุ้นควรซื้อขายบน PER ที่สูงขึ้น หลังผ่านพ้นวัฎจักรขาลงของธุรกิจ และอุตสาหกรรม จึงปรับ PER ในการประเมินมูลค่าขึ้นเป็น 13.2 เท่า เท่ากับค่าเฉลี่ยย้อนหลังในอดีต ส่งผลให้ราคาเหมาะสมถูกปรับขึ้นเป็น 14.60 บาท
BLS คิดคล้ายกัน แต่ต่างกันตรงคาดการณ์ผลกำไรปีนี้และปีหน้าในระดับที่สูงกว่า ทำให้มูลค่าพื้นฐานถูกประเมินสูงตามไปด้วย เป็น 15.50 บาท พร้อมแนะเก็งกำไร
ด้าน KTX ระบุว่า เป็นหุ้นเพียงตัวเดียวในกลุ่มผู้ผลิตเนื้อสัตว์บกที่ยังมีกำไร จึงให้คำแนะนำซื้อสำหรับปัจจัยพื้นฐานระยะสั้น และมีความเห็นเป็นกลางต่อแนวโน้มการเติบโตระยะยาวและเชิง Tactical โดยให้มูลค่าพื้นฐานที่ 12.03 บาท จากวิธี Earning yield คล้ายกับ KS ที่ชี้ว่า ราคาหุ้นปัจจุบันสะท้อนส่วนลดที่มากแล้ว เมื่อเทียบกับผลกำไรไตรมาสสุดท้ายปีนี้ที่คาดจะฟื้นตัวต่อเนื่อง คิดเป็นราคาเหมาะสมเบื้องต้นที่ 11.85 บาท
สำหรับราคาเฉลี่ยตาม IAA Concencus ของ GFPT อยู่ที่ 13.40 บาท