SCGD เรือธงธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ของ SCC แล่นไม่ออก ต่ำจองต่อเนื่อง

3823 จำนวนผู้เข้าชม  | 

SCGD เรือธงธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ของ SCC แล่นไม่ออก ต่ำจองต่อเนื่อง

 

การเข้าซื้อขายวันแรกของ บมจ. บมจ. เอสซีจี เดคคอร์ (SCGD) ที่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แทนที่ บมจ. เอสซีจี เซรามิกส์ (COTTO) ตามแผนปรับโครงสร้างธุรกิจของกลุ่ม บมจ.เอสซีจี หรือ ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ไม่สดใส เมื่อราคาต่ำจองทั้งวัน โดยหลังจากเปิดตลาดที่ 10.10 บาท ต่ำกว่าราคาจอง 1.40 บาท สร้างผลขาดทุน 12.17% จากนั้น ราคาก็แกว่งในกรอบแคบๆ ระหว่าง 9.80 - 10.40 บาท ตามแรงซื้อ หรือแรงขายที่เกิดในแต่ละจังหวะเวลา แต่แรงขายกลับหนาแน่นในภาคบ่าย กดให้ราคาปิดทำจุดต่ำสุดของวันที่ 9.80 บาท ต่ำกว่าราคาจองที่ 11.50 บาท ถึง 1.70 บาท คิดเป็นผลขาดทุน 14.78% ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 884 ล้านบาท  

อย่างไรก็ตาม นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGD ชี้แจงว่า การเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อเป็นเรือธง (Flagship) ในการดำเนินธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ของกลุ่ม SCC เพื่อยกระดับฐานะการเงินให้แข็งแกร่งขึ้น มีเงินทุนหมุนเวียนทั้งเพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้มากขึ้น สอดคล้องกับแผนขยายตลาดวัสดุตกแต่งพื้นผิว และสุขภัณฑ์ ในภูมิภาคอาเซียน ผ่านหลายกลยุทธ์ อาทิ การสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีศักยภาพในอาเซียน การลงทุนเพิ่มพอร์ตโฟลิโอสินค้า การลงทุนเพื่อบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานด้านการผลิตและจัดหาสินค้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น พร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero Carbon) ภายใน ค.ศ. 2050 

ขณะที่นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บมจ. หลักทรัพย์ บัวหลวง (BLS) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เสริมว่า SCGD ถือเป็นบริษัทฯ ที่มีความแข็งแกร่งในหลายมิติ ทั้งการเป็นผู้นำธุรกิจตกแต่งพื้นผิว และสุขภัณฑ์ ในภูมิภาคอาเซียน ดูได้จากการครองส่วนแบ่งตลาดกระเบื้องเซรามิกเป็นอันดับ 1 ทั้งในไทย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ รวมถึงมีส่วนแบ่งตลาดสุขภัณฑ์เป็นอันดับ 1 ในไทย อีกทั้งมีแบรนด์เป็นที่รู้จักและยอมรับทั่วภูมิภาคอาเซียน รวมถึงมีสินค้าครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม มีทีมออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เชี่ยวชาญ มีกระบวนการผลิตและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมในทุกภูมิภาค และมุ่งเติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้กระบวนการผลิตตามหลักการ ESG

ขณะที่ผลดำเนินงานเริ่มเห็นการฟื่นตัวที่ชัดเจนในไตรมาส 3 เมื่อรายได้จากการขาย และกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า มาอยู่ที่ 7,186 ล้านบาท และ 280 ล้านบาท ตามลำดับ สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจสามารถผ่านจุดต่ำสุด ที่เกิดจากผลกระทบของวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในเวียดนามได้แล้ว อีกทั้งแนวโน้มตลาดวัสดุตกแต่งพื้นผิว และสุขภัณฑ์ มีแนวโน้มที่ดีขึ้นในปีหน้า จากต้นทุนก๊าซที่ลดลง ยอดขายที่เพิ่มขึ้น และการเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่มาร์จิ้นสูง จนทำให้นักวิเคราะห์หลักทรัพย์หลายค่าย เช่น ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) กสิกรไทย (KS) ประเมินมูลค่าเหมาะสมปี 2567 ที่ 14-15 บาท แม้แต่ BLS เองยังให้ราคาเหมาะสมที่ 15.60 บาท  

กระน้้น ราคาหุ้น SCGD หลังจากการซื้อขายวันแรก ยังคงต่ำจอง แต่ราคาไม่อ่อนตัวลงไปแตะ 9.80 บาท อีกเลย โดยแกว่งในกรอบแคบๆ ระหว่าง 9.85-10.90 บาท เมื่อเข้าสู่สัปดาห์ที่สองของเดือนมกราคม

 


ทั้งนี้ การเสนอขายหุ้นเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ของ SCGD ถือว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในปี 2566 นี้ โดยมีมูลค่าตามราคาตลาด (Market cap) 18,975 ล้านบาท ตามราคา IPO ที่หุ้นละ 11.50 บาท จากจำนวนห้นุสามัญทั้งหมด 439.1 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 26.61% หลักๆ เสนอขายหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นเดิมของ COTTO เพื่อแลกหุ้น ในสัดส่วน 4.7917 หุ้น COTTO ต่อ 1 หุ้น SCGD โดยกำหนดราคาหุ้น COTTO ที่หุ้นละ 2.40 บาท ก่อนจะเพิกถอน COTTO ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ในระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน ถึง 6 ธันวาคม ก่อนจัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นในกลุ่ม SCC ที่มีสิทธิ ที่เหลือกระจายให้กับผู้มีอุปการะคุณต่อ COTTO นักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนรายย่อย โดยราคา 11.50 บาท เป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขาย IPO สุดท้าย

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้