1529 จำนวนผู้เข้าชม |
นายภาคภูมิ ศรีชำนิ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) เปิดเผยถึงก้าวสำคัญในการปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการจัดการสู่การเป็นธุรกิจโฮลดิ้ง (Holding Company) ภายใต้ชื่อ บมจ. สเตคอน กรุ๊ป (STECON) สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ผ่านการลงทุนในธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) และธุรกิจใหม่ที่มีการเติบโตสูง (New S-Curve) เพื่อกระจายความเสี่ยง และเพิ่มความสามารถในการสร้างรายได้ไปยังธุรกิจอื่นที่นอกเหนือจากธุรกิจวิศวกรรมและก่อสร้างเดิม ว่า ได้กำหนดกรอบการลงทุนใน 3 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับการให้บริการสาธารณูปโภคพื้นฐานและพลังงาน ภายใต้ Stecon Power กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและการขนส่ง ภายใต้ Stecon Logistics & Transportation และกลุ่มธุรกิจอื่นๆ เพื่อรองรับการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ที่มีความสามารถในการเติบโตสูง ภายใต้ STECX Ventures เพื่อผลักดันรายได้จากธุรกิจใหม่ให้เติบโตอย่างโดดเด่น ภายใน 5 - 10 ปีข้างหน้านี้ เพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่นักลงทุนอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งล่าสุด บริษัทฯ อยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรในหลายโครงการ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นรายได้จากธุรกิจใหม่ เข้ามาเสริมรายได้จากธุรกิจหลัก รับเหมาก่อสร้าง ในปี 2568 ทันที
โอกาสนี้ บริษัทฯ ใคร่เชิญชวนผู้ถือหุ้นให้นำหุ้น STEC ที่จะถูกเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ตามแผนปรับโครงสร้างธุรกิจ ไปแลกเป็นหุ้นใหม่ STECON ที่จะเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แทน ในอัตรา 1 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ซึ่งพร้อมเปิดให้ดำเนินการแลกหุ้นได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 21 ตุลาคมที่จะถึงนี้ โดยสามารถยืนยันการใช้สิทธิ์ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ที่ใช้บริการ หรือช่องทางออนไลน์ในระบบ E Tender Offer ผ่าน www.stecon.co.th ซึ่งตามขั้นตอนแล้ว คาดว่ากระบวนการต่างๆ จะแล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคมนี้
สำหรับแนวโน้มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในช่วงโค้งสุดท้ายปีนี้ เริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกชัดเจนขึ้น หลังจากสถานการณ์ทางการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น ทำให้หน่วยงานภาครัฐทยอยเปิดประมูลงานใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯ มีโอกาสเพิ่มงานในมือ (Backlog) สร้างการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง โดยจะมุ่งเน้นโครงการที่มีขนาดใหญ่ ทั้งที่ดำเนินการเอง และผนึกกำลังร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ และพร้อมเดินหน้าแบ่งแยกประเภทของธุรกิจให้ชัดเจน เพื่อบริหารจัดการ บริหารความเสี่ยงที่แตกต่างกันในแต่ละธุรกิจ เพื่อสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต