EPG ไม่หวั่นการค้าโลกปี 2568 ผันผวน พร้อมปรับแผนสร้างโอกาสทางธุรกิจ

1578 จำนวนผู้เข้าชม  | 

EPG ไม่หวั่นการค้าโลกปี 2568 ผันผวน พร้อมปรับแผนสร้างโอกาสทางธุรกิจ



รศ. ดร. เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป (EPG) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์ และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เปิดเผยแผนดำเนินธุรกิจปี 2568 ว่า เป็นปีที่บริษัทฯ ต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือความผันผวนจากหลากหลายปัจจัยที่รุมเร้าการค้าโลก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ หรือนโยบายการกีดกันการค้าที่ทวีความรุนแรง หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีรอบ 2 เพื่อลดความเสี่ยง และสร้างโอกาสทางธุรกิจ

โดยนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่ใช้ในการหาเสียง อย่างการปฏิรูปภาษี ที่มีข้อเสนอเรื่องขยายระยะเวลาการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล และการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลในบางกลุ่มธุรกิจ เพื่อส่งเสริมการลงทุนของธุรกิจอเมริกา กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ น่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex ผ่านบริษัทย่อยในอเมริกา Aeroflex USA ที่บริษัทถือหุ้น 100% แต่อาจได้รับผลกระทบจากแผนปรับอัตราภาษีศุลกากรพื้นฐานที่ 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศ เพราะทุกวันนี้ Aeroflex USA นำเข้าวัตถุดิบกึ่งสำเร็จรูปจากไทยเพื่อนำไปผลิตต่อ ซึ่งเสียภาษีในอัตราต่ำกว่าสินค้าสำเร็จรูป ซึ่งต้องรอความชัดเจนอีกครั้ง ส่วนการตั้งกำแพงภาษีสำหรับสินค้าจีน น่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจ ขานรับการย้ายฐานการผลิตเข้ามาไทย สร้างรายได้ให้กับบริษัทแม่เพิ่มขึ้น แต่จะได้มากหรือน้อยเพียงไร ต้องดูการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ในไทยประกอบด้วย

สำหรับธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ Aeroklas ได้มีการปรับกลยุทธ์เพื่อกระจายความเสี่ยง ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ส่งขายให้กับค่ายยานยนต์ญี่ปุ่น และหันมาเน้นผลิตสินค้านวัตกรรมที่มีน้ำหนักเบา ใช้ได้ทั้งกับรถยนต์สันดาป และรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งล่าสุด ได้โอกาสร่วมเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานรถกระบะไฟฟ้าจีนในอนาคตแล้ว ขณะเดียวกัน ธุรกิจในออสเตรเลีย Aeroklas Asia Pacific Group (AAPG) อยู่ระหว่างดำเนินการตามแผนลดค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ด้วยการยุติการดำเนินงานใน TJM Off-Road Products อเมริกา แล้ว AAPG เข้ามาดูแลลูกค้าในอเมริกาแทน

ส่วนธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ EPP แม้จะได้ประโยชน์จากปัญหาอุปทานส่วนเกินในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และแนวโน้มการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในอเมริกา กดดันให้ราคาวัตถุดิบผลิตภัณฑ์ประเภท HDPE, PP, PS และ PET มีแนวโน้มเป็นขาลง แต่ก็ส่งผลให้ตลาดมีการแข่งขันสูง ทำให้บริษัทฯ ต้องรุกขยายฐานลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม เพื่อใช้จุดแข็งด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิต รวมถึงคุณภาพผลิตภัณฑ์ สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ตลอดจนขยายตลาดต่างประเทศ และเพิ่มความหลากหลายของบรรจุภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้มากขึ้น เช่น บรรจุภัณฑ์กระดาษ หรือบรรจุภัณฑ์ไบโอพลาสติก

ขณะที่ภาพรวมผลดำเนินงานครึ่งหลังของงวดบัญชีปี 2567 (เริ่ม ต.ค. 2567 สิ้นสุด มี.ค. 2568) น่าจะเห็นการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง เพราะทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจสามารถเดินหน้าตามแผน ช่วยสนับสนุนให้ผลดำเนินงานงวดบัญชีทั้งปี 2567 (เริ่ม เม.ย. 2567 สิ้นสุด มี.ค. 2568) ทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยมีการเติบโตยอดขายประมาณ 8 - 10% และอัตรากำไรขั้นต้นที่ 30 - 33%  



Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้