MGC มั่นใจ ผลงานไตรมาส 2 แจ่ม หนุนผลงานครึ่งปีแรกโตเด่น

1340 จำนวนผู้เข้าชม  | 

MGC มั่นใจ ผลงานไตรมาส 2 แจ่ม หนุนผลงานครึ่งปีแรกโตเด่น




ดร. สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ. มิลเลนเนียม กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น เอเชีย (MGC) เปิดเผยแนวโน้มธุรกิจไตรมาส 2 ว่า น่าจะปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสแรก หนุนจากกลุ่มธุรกิจค้าปลีกยานยนต์ (Mobility Retail) ที่ได้อานิสงค์จากความนิยมใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ผลักดันให้ยอดจองรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ไตรมาสแรกจนถึงกลางไตรมาส 2 นี้ โดยเฉพาะแบรนด์ XPENG ที่ลูกค้ารอส่งมอบกว่า 1,500 คัน แต่บริษัทฯ มีสินค้าพร้อมส่งมอบ (Backlog)ได้ราว 1,265 คัน อย่างไรก็ตาม หากคิดรวมกับแบรนด์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ZEEKR, BMW, MINI, HONDA, Rolls-Royce หรือHarley-Davidson จะทำให้มี Backlog รวม 2,159 คัน ซึ่งบริษัทฯ จะเร่งส่งมอบรถยนต์เพื่อสร้างการรับรู้รายได้ในไตรมาส 2 นี้ให้กับลูกค้าให้ได้มากที่สุด ส่วนที่เหลือจะเร่งดำเนินการต่อในไตรมาส 3

นอกจากนี้ น่าจะเห็นการเติบโตของรายได้เพิ่มจากกลุ่มธุรกิจให้บริการรถเช่าและพนักงานขับ (Car Rental and Driver Services) ที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตามการเพิ่มจำนวนรถยนต์ และการบริหารจัดการพอร์ตรถยนต์ให้สอดคล้องกับความต้องการใช้บริการของลูกค้าระดับพรีเมียม ลักชัวรี และบุคคลทั่วไป (Self Drive) ทั้งในรูปแบบสัญญาระยะสั้น และระยะยาว โดยเฉพาะรถเช่าระยะสั้น ยังได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่ม Self Drive ถึงแม้การท่องเที่ยวโดยรวมจะชะลอตัว รวมถึงส่วนแบ่งกําไรจากกลุ่มธุรกิจอื่นๆ นอกเหนือยานยนต์ (Other Services) ทั้งในธุรกิจบริการทางการเงินอย่างครบวงจร ผ่านบริษัท อัลฟา เอกซ์ (Alpha X) ที่น่าจะทำกำไรได้ดีขึ้น จากการขยายพอร์ตสินเชื่อ Wealth Lending ได้มากขึ้น และธุรกิจประกันภัย ผ่านบริษัท ฮาวเด้น แมกซี่ อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ (Howden Maxi) ที่น่าจะขยายฐานลูกค้ารายใหญ่ใหม่ๆ ได้เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มศักยภาพการทำกำไร ซึ่งจะสนับสนุนให้ผลดำเนินงานครึ่งแรกปีนี้สดใสกว่าครึ่งแรกปีก่อนตามไปด้วย

และเพื่อผลักดันผลดำเนินงานทั้งปีให้เติบโตจากปีก่อน 10% เป็น 2.2 หมื่นล้านบาท ตามแผนที่วางไว้ บริษัทฯ พร้อมปรับกลยุทธ์ในกลุ่มธุรกิจต่างๆ เพิ่มเติม อย่างกลุ่ม Mobility Retail พร้อมหันมามุ่งเน้นรถยนต์เพียงบางรุ่นที่กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น เพื่อลดภาระต้นทุนการขายไม่ให้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่กลุ่มธุรกิจให้บริการหลังการขาย (Aftersales Service) พร้อมขยายฐานรายได้ด้วยการเปิดศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจร (One-Stop Service) MMS Car Service & Tire เพิ่ม 5 สาขา ในกรุงเทพฯ และหัวเมือง ควบคู่ไปกับการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายให้รัดกุมขึ้น ด้วยการปิดสาขาที่สัญญาเช่าพื้นที่หมดอายุ หรือสาขาที่ผลดำเนินงานไม่เป็นตามเป้า คล้ายกับกลุ่ม Car Rental and Driver Services ที่จะนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานให้สูงขึ้น พร้อมกับเดินหน้าขยายสาขาให้ครอบคลุมทั่วประเทศมากขึ้น เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มพรีเมียม ลักชัวรี และ Self drive ได้ในวงกว้างขึ้น

 

ส่วนกลุ่ม Other Services น่าจะเห็นการเติบโตดีขึ้น ทั้งจากธุรกิจบริการทางการเงินอย่างครบวงจร ผ่าน Alpha X ที่ได้ปัจจัยหนุนจากการลดดอกเบี้ยที่เกิดในไตรมาส 2 นี้ ช่วยขยายพอร์ตสินเชื่อ Wealth Lending ให้บรรลุเป้าหมายพอร์ตสินเชื่อทั้งปีที่ 12,500 ล้านบาท พร้อมทั้งควบคุมคุณภาพหนี้ได้เข้มแข็งขึ้น จากการนำเสนอแผนแก้ปัญหาในการชำระหนี้ที่ยั่งยืนให้กับลูกค้า ช่วยให้สามารถทำกำไรได้เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับธุรกิจประกันภัย ผ่าน Howden Maxi ที่มีการเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ให้พร้อมตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นประกันสุขภาพดูแลสวัสดิการพนักงาน ประกันแบบกลุ่มที่ตอบความต้องการของผู้สูงอายุ โดยเฉพาะวัยเกษียณ หรือการให้บริการกลุ่มประกันภัยไซเบอร์ (Cyber Insurance) เพื่อช่วยบริหารความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการต่อยอดบริการเดิมให้ครอบคลุมไปยังภาคพลังงานและพลังงานทางเลือก ตามแนวทาง ESG เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน   

สำหรับผลดำเนินงานงวดไตรมาสแรกปี 2568 MGC มีกำไรสุทธิ 54.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 678% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) สาเหตุจากอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นจาก 9.8% ในไตรมาสแรกปีก่อน มาอยู่ที่ 11.5% ผลจากการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการเติบโตของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งดำเนินการโดยบริษัทร่วมทุน นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย (Neo Mobility Asia) ทั้งแบรนด์ XPENG ที่ได้กระแสตอบรับจากการเปิดตัวในงานมอเตอร์โชว์ รวมถึงการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ ZEEKR ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปีก่อน เพิ่มส่วนแบ่งกำไรได้มากขึ้น อีกทั้งยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรที่ดีขึ้นจากกลุ่มธุรกิจ Other Services ไม่ว่าจะเป็น Howden Maxi ที่สามารถขยายฐานลูกค้าทั้งรายใหญ่และรายใหม่ให้เข้ามาใช้บริการมากขึ้น หรือ AlphaX ที่เริ่มมีกําไรครั้งแรก ช่วยลดผลกระทบจากยอดขายรถยนต์พรีเมียมโดยรวมที่ชะลอตัวลง 14.4% จากแรงกดดันทั้งการเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้า ภาวะเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า และการที่สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ส่งผลให้รายได้รวมลดลงเพียง 10.1% มาอยู่ที่ 4,065.4 ล้านบาท




Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้