1426 จำนวนผู้เข้าชม |
นายศักดา ศรีแสงนาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เจริญอุตสาหกรรม (CH) ร่วมให้ความเชื่อมั่นนักลงทุน และผู้ถือหุ้น ผ่านงานบริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน (Opportunity Day) ชี้แจงสาเหตุที่ทำให้ผลดำเนินงานงวดไตรมาสแรกอ่อนแอกว่าที่คาด เมื่อกำไรสุทธิลดลง 61.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน มาอยู่ที่ 13.1 ล้านบาท ว่า เกิดจากยอดขายในตลาดต่างประเทศ (มีสัดส่วนรายได้ 88% ของรายได้ทั้งหมด) ลดลง ทั้งจากความกังวลเกี่ยวกับนโยบายภาษีนำเข้าของผู้นำอเมริกา ส่งผลให้ลูกค้ารายใหญ่ในอเมริกาชะลอคำสั่งซื้อสินค้ากลุ่มผลไม้อบแห้ง ซึ่งมีสัดส่วนรายได้สูงที่สุด และการที่ลูกค้ารายใหญ่ 2 ราย ซึ่งว่าจ้างให้บริษัทฯ ผลิตสินค้ากลุ่มปลากระป๋อง เกิดปัญหาในการจัดหาวัตถุดิบ และบรรจุภัณฑ์ ทำให้ไม่สามารถดำเนินการผลิตได้ตามแผนที่กำหนด อีกทั้งยังถูกกดดันจากค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น ฉุดให้รายได้จากการขายโดยรวมลดลง 13.3% มาอยู่ที่ 445.5 ล้านบาท รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นปรับลดลงจาก 17.1% ในไตรมาสแรกปีก่อน มาอยู่ที่ 15.9% พร้อมกับให้ความมั่นใจนักลงทุน และผู้ถือหุ้นว่า ได้มีการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในไตรมาสแรกแล้ว
โดยแผนระยะสั้น จะเร่งส่งออกสินค้ากลุ่มผลไม้อบแห้ง ที่มีคำสั่งซื้อล่วงหน้ากว่า 80% ไปให้ลูกค้าในอเมริกา ในช่วงระงับการเก็บภาษีต่างตอบแทนเป็นเวลา 90 วัน พร้อมกับปรับลดราคาสินค้าบางรายการ เพื่อช่วยกระตุ้นการสั่งซื้อ รวมถึงเริ่มเปิดเจรจากับลูกค้ารายสำคัญๆ เพื่อหาทางออกที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ขณะที่ปัญหาการจัดหาวัตถุดิบของลูกค้ารายใหญ่ 2 ราย เพื่อผลิตสินค้ากลุ่มปลากระป๋อง ได้รับการแก้ไขเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้น่าจะเห็นการเติบโตของคำสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้แนวโน้มธุรกิจในไตรมาส 2 น่าจะฟื้นตัวดีขึ้นจากไตรมาสแรก
สำหรับแผนระยะกลางถึงยาว บริษัทฯ จะมุ่งขยายฐานลูกค้าไปในยุโรป จีน อินเดีย และตะวันออกกลาง ผ่านการขยายเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายให้มากขึ้น ทั้งเพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากจนเกินไป โดยเฉพาะตลาดอเมริกา ที่ทุกวันนี้มีสัดส่วนการส่งออกกว่า 54% และเพิ่มการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ โดยดำเนินการคู่ขนานไปกับการบริหารความสัมพันธ์กับคู่ค้าเดิมเชิงรุกมากขึ้น เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมให้มั่นคง รวมถึงพิจารณาลงทุนผลิตสินค้าจากประเทศที่มีภาษีนำเข้าต่ำ และมีวัตถุดิบใกล้เคียงกับไทย และลงทุนในวัตถุดิบระยะยาว เพื่อล็อกต้นทุนให้มีเสถียรภาพ
นอกจากนี้ บริษัทฯ จะยังให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และรักษากระแสเงินสด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อมรับมือเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ตลอดจนรักษามาตรฐาน คุณภาพ และรสชาติของสินค้าทุกกลุ่ม เพื่อยกระดับแบรนด์ ควบคู่ไปกับการสร้างสรรค์นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์เทรนด์อาหารแห่งอนาคตอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันผลดำเนินงานให้เติบโตเฉลี่ยปีละ 10% พร้อมคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน