1497 จำนวนผู้เข้าชม |
นางสาวณภัทร โมรินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยนายสิริณัฏฐ์ ชญาน์นันท์ กรรมการผู้จัดการ บมจ. เจ้าสัว ฟู้ดส์ อินดัสทรี (CHAO) ร่วมนำเสนอข้อมูลในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ จากสำนักงานใหญ่บริษัทฯ เมื่อเร็วๆ นี้ โดยยืนยัน จะเห็นการฟื้นตัวของยอดขายทั้งในและต่างประเทศในไตรมาส 2 ขานรับผลสำเร็จจากทั้งการปรับปรุงรูปแบบการจัดจำหน่ายสำหรับผู้ค้าส่งที่เสร็จสิ้นลงไป และการฟื้นตัวของยอดขายในตลาดจีน และอเมริกาที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ รวมถึงการเดินหน้า 4 กลยุทธ์ของบริษัทฯ ไม่ว่าจะเป็นการปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้ทันสมัย การชูเอกลักษณ์ผลิตภัณฑ์ การสร้างการรับรู้แบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก ผ่านการออกงานแสดงสินค้าต่างๆ การจัดกิจกรรมทางการตลาด รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ปีละ 15-20 รายการ ให้สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุม ควบคู่ไปกับการควบคุมต้นทุน การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อมกับยกระดับความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ บมจ. เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN) ที่เป็นทั้งพันธมิตร และผู้ถือหุ้นใหญ่ ในสัดส่วน 5.36% ช่วยสร้างความแข็งแกร่งด้านแบรนด์ รวมถึงร่วมมือกันในการจัดจำหน่ายครอบคลุมทั้งในและต่างประเทศ และพัฒนาสินค้าใหม่ร่วมกัน เพื่อผลักดันการเติบโตของรายได้ในครึ่งปีหลัง และบรรลุเป้าหมายรายได้แตะ 2,200 ล้านบาท ในปี 2570 ตามแผนงานที่วางไว้
สำหรับผลดำเนินงานงวดไตรมาสแรกปี 2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 11.5 ล้านบาท ลดลง 56.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) และลดลง 42.3% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) สาเหตุจากการลดลงของยอดขายทั้งในและต่างประเทศ โดยตลาดต่างประเทศ ถูกกระทบจากการยกเลิกจำหน่ายสินค้ากลุ่มข้าวตังบางตัวของร้าน Sam’s club ในตลาดจีน เนื่องจากการปรับเปลี่ยนช่วงเวลาเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ และการชะลอตัวของคำสั่งซื้อขนมขบเคี้ยวแปรรูปที่ทำจากธัญพืช จากกลุ่มสินค้ารับจ้างผลิต (OEM) ที่จำหน่ายในอเมริกา ซึ่งได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การจัดการสินค้าคงคลังของคู่ค้าช่วงต้นปี ส่วนตลาดในประเทศ ถูกกดดันจากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจำหน่ายสำหรับผู้ค้าส่ง จากเดิมที่จำหน่ายผ่านตัวแทน มาเป็นบริษัทฯ จำหน่ายเองโดยตรง ส่งผลให้กระบวนการกระจายสินค้ามีความล่าช้า อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า ฉุดให้รายได้จากการขายลดลง 3.9% YoY และ 25.2% QoQ มาอยู่ที่ 323.3 ล้านบาท และอัตรากำไรขั้นต้นปรับลดลงจาก 36.7% ในไตรมาสแรกปีก่อน และ 34.1% ในไตรมาสสุดท้ายปีก่อน ลงมาเป็น 33.8%