1385 จำนวนผู้เข้าชม |
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บมจ. กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ได้วางยุทธศาสตร์การพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ด้วยการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก หรืออีสเทิร์นซีบอร์ด ให้มีโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคที่มีประสิทธิภาพ เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย โดยเฉพาะโครงการพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ซึ่งประกอบด้วย งานถมทะเล 1,000 ไร่ และงานพัฒนาท่าเทียบเรือก๊าซและสถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG Terminal) บนพื้นที่ถมทะเลประมาณ 200 ไร่ ผ่านบริษัท กัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินอล (GMTP) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัทฯ และบริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล ในเครือ บมจ. ปตท. (PTT) โดย GULF ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 70% และได้มีการลงนามในสัญญาร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) กับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เป็นระยะเวลา 35 ปี เพื่อดำเนินโครงการนี้
ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา GMTP สามารถถมทะเลนั้นแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อยในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นับตั้งแต่เริ่มดำเนินการในเดือนธันวาคมปี 2564 ดังนั้น เพื่อเดินหน้าพัฒนาท่าเทียบเรือก๊าซและสถานีรับ-จ่าย LPG ต่อไป ที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ GMTP มีมติอนุมัติวงเงินลงทุนประมาณ 60,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้สามารถเริ่มงานก่อสร้างได้ภายในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ เพื่อให้พร้อมเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ภายในไตรมาสแรก ปี 2572 โดยจะเป็นสถานีรับ-จ่าย LPG แห่งที่ 3 ของไทย ช่วยนกระดับบทบาทในการรักษาเสถียรภาพด้านพลังงานของประเทศ และช่วยรองรับความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นในภาคอุตสาหกรรมและภาคการผลิตไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และยั่งยืนในอนาคต
ขณะเดียวกัน การลงทุนในโครงการมาบตาพุดยังเป็นการต่อยอดธุรกิจของกลุ่มบริษัทฯ ให้เชื่อมโยงอย่างครบวงจรระหว่างธุรกิจผลิตไฟฟ้าและธุรกิจนำเข้า LPG ไม่ว่าจะเป็นบริษัท หินกองเพาเวอร์โฮลดิ้ง (HKH) หรือบริษัท กัลฟ์ แอลเอ็นจี (GLNG) เพื่อนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าภายในกลุ่มบริษัทฯ อีกด้วย