73 จำนวนผู้เข้าชม |
ดร. วิจิตร เตชะเกษม กรรมการผู้จัดการ บมจ. ฟิลเตอร์ วิชั่น (FVC) เปิดเผยแนวโน้มธุรกิจครึ่งหลังปี 2568 ว่า มีทิศทางสดใสมากกว่าครึ่งปีแรก หนุนจากการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการด้านระบบน้ำ (B1) กลุ่มธุรกิจกลุ่มธุรกิจพาณิชย์และที่พักอาศัย (B2) และกลุ่มธุรกิจบริการทางการแพทย์ (B3) และการพัฒนาสินค้าเฉพาะกลุ่ม เพื่อต่อยอดรายได้จากลูกค้าเดิม และลูกค้าใหม่ โดยกลุ่มธุรกิจ B1 สามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ ในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงการเพิ่มตัวแทนจำหน่าย ในจังหวัดที่มีประชากรสูง มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ ทำให้สามารถเพิ่มปริมาณงานโครงการขนาดเล็กที่ทำได้เร็ว รวมถึงงานโครงการที่เกี่ยวกับ Green Technology ให้มากขึ้น สร้างการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่กลุ่มธุรกิจ B2 เริ่มเห็นความสำเร็จจากการขยายฐานลูกค้าใหม่ ในกลุ่มร้านอาหารและเครื่องดื่ม ขานรับกลยุทธ์ในการช่วยลูกค้าออกแบบคัดเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับการใช้งาน กับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ตอบความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด และรักษามาตรฐานบริการหลังการขายแบบ Total Solutions Provider สนับสนุนให้ลูกค้าสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคง
ส่วนธุรกิจบริการทางการแพทย์ (B3) ซึ่งดำเนินการโดย บมจ. เคที เมดิคอล เซอร์วิส (KTMS) สามารถรักษาโมเมนตัมการเติบโตได้ดีต่อเนื่อง ขานรับการขยายสาขา ทั้งหน่วยไตเทียมในโรงพยาบาล และคลินิกเวชกรรมเฉพาะทางไตเทียม ที่ดำเนินการผ่านบริษัท เนโฟร วิชั่น (NEP) พร้อมกับเพิ่มจำนวนเครื่องไตเทียม เพิ่มการเข้าถึงผู้ป่วยได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ควบคู่ไปกับการเร่งส่งมอบงานติดตั้งระบบผลิตน้ำบริสุทธิ์ ระบบบำบัดน้ำเสีย งานปรับปรุงหน่วยไตเทียมในสถานพยาบาล ผ่านบริษัท เออร์วิง คอร์ปอเรชั่น (IRV) รวมถึงงานติดตั้งอุปกรณ์ท่อลม รับ-ส่ง สิ่งส่งตรวจทางการแพทย์ ผ่านบริษัท เมดิคอล วิชั่น (MV) ให้ตรงเวลา ตลอดจนเริ่มเห็นพัฒนาการของแผนขยายกำลังผลิตน้ำยาไตเทียมเพิ่มจาก 1.0 แสนแกลลอน เป็น 1.3-1.4 แสนแกลลอน และการจัดตั้งศูนย์บริการ และกระจายสินค้าในภาคอีสาน ซึ่งจะสนับสนุนให้รายได้รวมทั้งปีเพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อน เป็น 1,200-1,300 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ หลังจากครึ่งปีแรก บริษัทฯ ทำรายได้รวมกว่า 553.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่งผลให้กำไรสุทธิเติบโต 42.8% มาอยู่ที่ 29.4 ล้านบาท
สำหรับการเพิ่มทุนจดทะเบียน 1,280.50 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 282.57 ล้านบาท เป็น 1,563.07 ล้านบาท ด้วยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 2,561 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท จัดสรรให้กับผู้ถือหุ้นเดิม ตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right offering) ในสัดส่วน 1 หุ้นเดิม ต่อ 4.5316 หุ้นใหม่ ในราคาเสนอขายหุ้นละ 0.50 บาท ระหว่างวันที่ 4-5 และ 8-10 กันยายนที่ผ่านมา เพื่อนำเงินทุนที่ได้มาใช้ในการซื้อกิจการนิคมอุตสาหกรรม เวิลด์ อินดัสเทรียล เอสเตท (WIE) และลงทุนระบบสาธารณูปโภคภายในนิคมอุตสาหกรรม เฟสที่ 2 เป็นหลัก ส่วนที่เหลือนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และชำระหนี้สถาบันการเงิน รวมถึงหนี้สินที่มีภาระผูกพัน นอกจากจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับบริษัทฯ ในระยะสั้นถึงกลางแล้ว ยังจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว ปรากฏว่า ผู้ถือหุ้นเดิมมีการใช้สิทธิ 1,625.73 ล้านหุ้น ทำให้บริษัทฯ ได้รับเงินเพิ่มทุนหลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้วรวมทั้งสิ้น 808.92 ล้านบาท