TURBO เคาะราคา IPO 1.50 บาท เปิดจอง 19-23 ก.ย.นี้ ก่อนซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ 30 ก.ย.

นายคมกฤต รักษากุลเกียรติ หัวหน้าวาณิชธนกิจ บมจ. ธนาคารทิสโก้ (TISCO) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และตัวแทนบริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ (TSC) ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น บมจ. เงินเทอร์โบ (TURBO) ผู้ให้บริการทางการเงินแก่กลุ่มลูกค้ารายย่อยที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ หรือสามารถเข้าถึงแต่ได้รับบริการที่ไม่ครบถ้วน เปิดเผยว่า พร้อมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 537 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 20.1%ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมด ที่ราคาหุ้นละ 1.50 บาท จากราคาพาร์ หุ้นละ 0.50 บาท ระหว่างวันที่ 19 – 23 กันยายนนี้ ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ และ บมจ. หลักทรัพย์ กสิกรไทย (KS) ที่เป็นแกนนำการจัดจำหน่าย รวมถึงผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 8 ราย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส (ASP) บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ (TNITY) บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า ประเทศไทย (YUANTA) บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LHS) บมจ. หลักทรัพย์ ดาโอ ประเทศไทย (DAOL) บมจ. หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) บมจ. หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ ประเทศไทย (MST) และ บมจ. หลักทรัพย์ เคจีไอ ประเทศไทย (KGI) คาดว่า จะเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันที่ 30 กันยายน ถือเป็นการส่งท้ายไตรมาส 3 

ด้านนายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ KS ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม ชี้แจงว่า การตั้งราคา IPO ที่ 1.50 บาท พิจารณาจากผลสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (Book Building) ของนักลงทุนสถาบันที่แสดงความสนใจจองซื้อหุ้น ซึ่งสอดคล้องกับการประเมินมูลค่าด้วยวิธีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) โดยพิจารณาจากกำไรสุทธิย้อนหลัง 4 ไตรมาสล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ซึ่งอยู่ที่ 12.7 เท่า ถือได้ว่าสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน และศักยภาพการเติบโต เมื่อพิจารณาจากความสามารถในการสร้างรายได้ วัดจากพอร์ตสินเชื่อช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีการเติบโตอย่าง จาก 7,383.3 ล้านบาท เป็น 10,768.5 ล้านบาท คิดเป็นอัตราขยายตัวเฉลี่ย (CAGR) ที่ 16.3% โดยมีส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin - NIM) ที่ 19.8% สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 15.1% และมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อสาขาที่ปีละ 1.4 ล้านบาท ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม ซึ่งอยู่ที่ปีละ 2.3 ล้านบาท

อีกทั้งยังมีความสามารถในการจัดการความเสี่ยงที่ดี เมื่อพิจารณาจากอัตรารายได้รวมหักค่าใช้จ่ายผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ต่อลูกหนี้เงินให้กู้ยืมสุทธิเฉลี่ย ที่สูงระดับ 21.8% ดีกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ทำได้ 18.0% ดังนั้น การได้เงินทุนจากการขายหุ้น IPO จะช่วยยกระดับให้บริษัทฯ สามารถขยายโอกาสทางธุรกิจให้แข็งแกร่งมากขึ้น พร้อมก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านการให้บริการทางการเงินแก่กลุ่มลูกค้ารายย่อยของประเทศ

ส่วนนายสุธัช เรืองสุทธิภาพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TURBO เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีแผนนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ขยายธุรกิจให้บริการทางการเงิน ทั้งในกลุ่มธุรกิจสินเชื่อ ประกอบด้วย สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ สินเชื่อโฉนดที่ดิน กับสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ และกลุ่มธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยและประกันชีวิต เป็นหลัก ส่วนที่เหลือนำไปชำระคืนเงินกู้ยืมธนาคารพาณิชย์ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ เพิ่มความเข้มแข็งทางการเงิน รวมถึงเปิดโอกาสให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีความหลากหลายได้ในต้นทุนที่ต่ำกว่าเดิม ช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้สูงขึ้น สอดคล้องก้บกลยุทธ์การเพิ่มช่องทางเสนอขายผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมลูกค้าทั่วประเทศ จากที่มี 996 สาขาในวันนี้ เพิ่มเป็น 1,475 สาขา ในปี 2572 ควบคู่ไปกับการเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ทั้งผลิตภัณฑ์สินเชี่อและประกัน จำนวนคู่ค้าบริษัทประกัน เพื่อให้ลูกค้าแต่ละรายมีทางเลือก สำหรับตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการได้มากที่สุด ผลักดันให้พอร์ตสินเชื่อปีนี้เติบโต และพอร์ตประกันเติบโตแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง เฉพาะปีนี้ ตั้งเป้าพอร์ตสินเชื่อปีนี้เติบโตจากปีก่อน 10% เป็น 12,000 ล้านบาท

ประการสำคัญ บริษัทฯ จะยังคงใช้จุดแข็งในการมีฝ่ายเทคโนโลยีที่ใหญ่และมีศักยภาพ ทำหน้าที่จัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูล บริหารความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพ อีกทั้งมีการปรับปรุงฐานข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และการให้บริการ เพื่อให้สามารถส่งมอบบริการที่ตอบโจทย์ สะดวก และรวดเร็ว ให้กับลูกค้า สร้างความประทับใจจนเกิดการบอกต่ออย่างต่อเนื่อง ยกระดับแบรนด์เงินเทอร์โบขึ้นเป็นแบรนด์อันดับ 1 ในใจลูกค้า (Build Brand) ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน