ONSENS เคาะราคา IPO 2.05 บาท เปิดจอง 29-30 ก.ย. และ 1 ต.ค. ก่อนเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ 7 ต.ค. นี้

2096 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ONSENS เคาะราคา IPO 2.05 บาท เปิดจอง 29-30 ก.ย. และ 1 ต.ค. ก่อนเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ 7 ต.ค. นี้


 

 

นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บมจ. หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) ที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน บมจ. ออนเซ็น รีทรีต แอนด์ สปา กรุ๊ป (ONSENS) เปิดเผยว่า พร้อมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 80 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 26.67% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมด ที่ราคาหุ้นละ 2.05 บาท จากราคาพาร์ หุ้นละ 0.50 บาท ระหว่างวันที่ 29-30 กันยายน และ 1 ตุลาคมนี้ ผ่านบริษัทฯ และผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 4 ราย ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง (KTX) บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก (GBS) บมจ. หลักทรัพย์ บียอนด์ (BYD) และ บมจ. หลักทรัพย์ กรุงศรี KSS) คาดว่า จะเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันที่ 7 ตุลาคมนี้

สำหรับการตั้งราคา IPO ที่ 2.05 บาท ใช้วิธีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) โดยพิจารณาจากกำไรสุทธิย้อนหลัง 4 ไตรมาสล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ซึ่งอยู่ที่ 29.2 เท่า ถือได้ว่าสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน และศักยภาพการเติบโต ดูได้จากรายได้เฉลี่ย 3 ปีล่าสุดที่เติบโต 18.7% สูงกว่าอุตสาหกรรมโดยรวม สาเหตุหลักมาจากฐานลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนไทย และคนต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทย คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 70% ทำให้มีความเสี่ยงจากการพึ่งพิงลูกค้าต่างชาติค่อนข้างจำกัด ขณะเดียวกัน การเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจออนเซนสไตล์ญี่ปุ่นในไทย ทำให้แบรนด์ Yunomori มีความแข็งแกร่ง ส่งผลให้จำนวนลูกค้าที่กลับมาใช้บริการซ้ำเติบโตต่อเนื่อง จากเฉลี่ยเดือนละ 20,844 คน ในปี 2565 ขึ้นมาเป็นเฉลี่ยเดือนละ 26,075 คน ในปีก่อน พร้อมกับหนุนให้ค่าใช้จ่ายต่อหัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จากครั้งละ 675 บาท ในปี 2565 เป็นครั้งละ 784 บาท ในปีก่อน คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 11.85% และ 16.15% ตามลำดับ สนับสนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 40-45% ดีกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ การได้เงินทุนจากการขายหุ้น IPO เพื่อนำไปลงทุนโครงการ Social Wellness Hotel & Spa ทองหล่อ และขยายสาขาแบรนด์ใหม่ ส่วนที่เหลือนำไปชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการทำธุรกิจ ยังจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน รักษาความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมออนเซ็นและสปาในไทย สร้างการเติบโตก้าวกระโดดในระยะสั้นและระยะกลาง พร้อมเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

 

 

 

 

ด้านนายสมิทธิ์ เมฆอรุณกมล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ONSENS เสริมว่า โครงการ Social Wellness Hotel & Spa ทองหล่อ ถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ (size XL) และเป็นโครงการเรือธง (Flagship) ที่จะเพิ่มศักยภาพการเติบโตรอบใหญ่ให้บริษัทฯ สามารถตอบสนองความต้องการดูแลรักษาสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Wellness) รวมถึงการปลดปล่อยความเหนื่อยล้าจากชีวิตประจำวัน ด้วยการใช้เวลาอยู่กับตัวเองในบรรยากาศที่เงียบสงบและผ่อนคลาย ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามกระแสใส่ใจสุขภาพของผู้บริโภคที่ต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตให้สูงขึ้น อีกทั้งบริษัทฯ มีแผนทำแบรนด์ใหม่ เป็นแบรนด์ที่ 3 ชื่อ PAK Massage ซึ่งเป็นร้านนวดเพื่อสุขภาพขนาดย่อมเยาว์ (size S) ที่เข้าถึงง่าย ในราคาที่จับต้องได้ กำหนดเปิดสาขาแรกปลายปีนี้ ซึ่งจะช่วยขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เสริมเพิ่มจากการให้บริการแบรนด์ยูโนะโมริ ออนเซ็น แอนด์ สปา (Yunomori) ที่เป็นโครงการขนาดกลาง (size L) และคลาย สปา (Klai) ที่เป็นแบรนด์ขนาดเล็ก (size M) และเป็นช่องทางสร้างรายได้หลักมาโดยตลอด ทั้งรายได้จากธุรกิจให้บริการออนเซ็นและสปา ทีมีสัดส่วนรายได้สูงกว่า 86% และรายได้จากธุรกิจจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มในรูปแบบร้านอาหารญี่ปุ่น สไตล์โฮมเมด ชื่อ Happy Rice รวมทั้งของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ชุดยูกาตะ ผ้าพันคอ แก้วกาแฟ ที่ออกแบบร่วมกับศิลปินที่มีชื่อเสียง ซึ่งตั้งอยู่ใน Yunomori ทุกสาขา คิดเป็นสัดส่วนรวมกันราว 13%

ทั้งนี้ Yunomori จะให้บริการที่ครบวงจรทั้งออนเซ็นและสปา มีความโดดเด่นทั้งความหลากหลายของบ่อออนเซ็น ไม่ว่าจะเป็น บ่อยูโนะโมริซิกเนเจอร์ บ่อน้ำร้อนธรรมชาติ บ่อน้ำวน บ่อซิลค์บาธ บ่อบับเบิ้ลบาธ บ่อน้ำเย็น ซึ่งแต่ละบ่อจะมีคุณสมบัติในการช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่แตกต่างกัน เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ลูกค้า หรือรูปแบบสปาที่ครอบคลุมการนวดเพื่อผ่อนคลาย และเพื่อเสริมความงาม ด้วยเทคนิคที่ออกแบบมาโดยเฉพาะและเป็นเอกลักษณ์ ปัจจุบันมี 3 สาขาในประเทศไทย ที่สุขุมวิท 26 สาทร 10 และพัทยา อีกทั้งมีการร่วมลงทุนที่สิงคโปร์ อีก 1 สาขา

ส่วน Klai จะให้บริการสปาในรูปแบบเดย์สปา ผสมผสานศาสตร์การนวดไทยโบราณเข้ากับเทคนิคการบำบัดสมัยใหม่ ด้วยบรรยากาศที่เน้นย้ำถึงเอกลักษณ์ความเป็นไทย ด้วยการตกแต่งภายในสาขาด้วยศิลปะรูปแบบไทยร่วมสมัย ตอบโจทย์ทั้งกลุ่มลูกค้าคนไทยและชาวต่างชาติ ปัจจุบันมีสาขาเดียวที่ย่านเยาวราช

ประการสำคัญ ความเชี่ยวชาญในธุรกิจที่ยาวนานกว่า 13 ปี และประสบการณ์ในช่วงวิกฤตโควิดก่อนหน้านี้ ทำให้บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการใช้เงินลงทุน การวางแผนการตลาด การบริหารต้นทุน การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และการให้บริการมาโดยตลอด จนติด Top 4 ในธุรกิจออนเซ็นและสปาไทย

 

 

 

  



 

ขณะที่นายเพชร คงแสงไชย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบัญชีและการเงิน ONSENS ยืนยันว่า พร้อมใช้เงินที่ได้จากการขายหุ้น IPO ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด จากการนำเงินราว 120 ล้านบาทไปลงทุนโครงการ Social Wellness Hotel & Spa ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจออนเซ็นและสปา ให้เติบโตก้าวกระโดด รวมถึงการสร้างรายได้ประจำจากการให้เช่าพื้นที่ และการให้บริการโรงแรมขนาด 79 ห้อง ผ่านบริษัทร่วมทุน รวมถึงการทยอยขยายสาขาแบรนด์ KLAI และ PAK Massage รวม 7 สาขา ภายในปี 2570 ตามแผนที่วางไว้

พร้อมกันนั้น การชำระคืนหนี้สถาบัน จะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งทางการเงิน ส่งผลดีต่อต้นทุนทางการเงิน และการมีแหล่งเงินทุนใหม่รองรับโอกาสใหม่ๆ ที่จะเกิดภายใน 3 ปีนี้ ทั้งจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวตามปัจจัยฤดูกาล และการเติบโตของฐานลูกค้าใหม่ๆ ตามแผนขยายขอบเขตการให้บริการครอบคลุมทุก segment ในตลาด ผลักดันให้รายได้เติบโตเป็นเลข 2 หลัก สูงกว่าอุตสาหกรรมที่คาดจะเติบโตราว 9% ก่อนเติบโตโดดเด่นในปี 2570-71 หลังโครงการ Flagship เริ่มเปิดให้บริการเต็มตัว สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอและยั่งยืนในอนาคต 

 

 

 

 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้