SMO พร้อมเดินสายโรดโชว์ 11 จังหวัด 8-20 ต.ค. นี้ หลังประชุมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ฯ แล้วเสร็จ
1380 จำนวนผู้เข้าชม |
นายกิตติพงษ์ พวงมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยนายกุศล ศรีเปารยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน นายเสกศักดิ์ พิริเยศยางกูร กรรมการผู้จัดการ สายงานโรงงาน และนายโจซ์สัน ลิม กรรมการผู้จัดการ สายงานนวัตกรรมและการค้าระหว่างประเทศ บมจ. กลุ่มสมอทอง (SMO) ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ และจำหน่ายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงก๊าซชีวภาพ ร่วมกับนายสุริยา ธรรมธีระ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ (APM) ที่ปรึกษาทางการเงิน และนายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บมจ. หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) ในฐานะแกนนำการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ร่วมนำเสนอข้อมูลบริษัทฯ ศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ และโอกาสการเติบโตหลังเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ผ่านการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งแรกให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 231.6 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 25.17% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด ที่ราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ให้กับนักวิเคราะห์หลักทรัพย์จากบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ เมื่อเร็วๆ นี้
หลังจากนี้ บริษัทฯ เตรียมเดินทางไปนำเสนอข้อมูลให้กับนักลงทุน หรือโรดโชว์ ให้กับนักลงทุนในภูมิภาคต่างๆ รวม 10 จังหวัด ประเดิมภาคกลาง 3 จังหวัด เริ่มจากจังหวัดชลบุรี ในวันที่ 8 ตุลาคม ต่อด้วยจังหวัดราชบุรี และนครปฐม ในวันที่ 9 ตุลาคม หลังจากนั้น จะเดินสายไปโรดโชว์ภาคเหนือ 2 จังหวัด ที่พิษณุโลก และนครสวรรค์ ในวันที่ 10 ตุลาคม ตามมาด้วยภาคอีสาน 2 จังหวัด คือ นครราชสีมา และขอนแก่นในวันที่ 14 ตุลาคม ก่อนขึ้นเหนือสุดที่จังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 15 ตุลาคม และส่งท้ายโรดโชว์ระดับภูมิภาคในภาคใต้ 2 จังหวัด ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ในวันที่ 16 ตุลาคม ต่อด้วยจังหวัดสุราษฎร์ธานีในวันที่ 17 ตุลาคม
ต่อจากนั้น ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย จะจัดโรดโชว์ครั้งสุดท้าย ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันที่ 20 ตุลาคม เป็นจังหวัดที่ 11 โดยมีความมั่นใจว่า จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจาก SMO มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง รวมถึงมีศักยภาพการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน จากการนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ขยายโรงงานผลิตน้ำมันปาล์มดิบไปในพื้นที่อื่น นอกเหนือจากที่กลุ่มบริษัทฯ มี เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในอุตสาหกรรม รวมถึงลงทุนในโครงการปรับปรุงกระบวนการผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม และลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งอยู่ในห่วงโซ่อุปทาน ช่วยต่อยอดผลิตภัณฑ์หลักของธุรกิจ อีกส่วนหนึ่งนำไปชำระหนี้สถาบันการเงิน เพิ่มความเข้มแข็งทางการเงิน ยกระดับความสามารถในการสร้างกำไร และจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้น
