28 จำนวนผู้เข้าชม |
นางสาวณิชา โรจน์วัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอ็มเอ็มเอ็ม แคปปิตอล (MMM) นำคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับคณะนักลงทุนจากสื่อต่างๆ เช่น ข่าวหุ้น Stock Focus มิติหุ้น รวมถึงนักลงทุนจากสมาคมนักลงทุนประเทศไทย เพื่อนำเสนอข้อมูลภาพรวมธุรกิจ และโมเดลธุรกิจที่ประยุกต์แนวคิดจาก Pre AMC Model + Insurance Agency Model + MiniMart Model มาประยุกต์ใช้เป็นโมเดลในการทำธุรกิจ ในโอกาสจัดโรดโชว์ ช่วงปลายเดือนกันยายน และต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ที่ห้องจามจุรี ชั้น 2 โรงแรม สวิสโซเทล ถ.รัชดาภิเษก ก่อนเสนอขายหุ้น PO จำนวน 64.2 ล้านหุ้น โดยมีราคาพาร์ที่หุ้นละ 0.50 บาท เพื่อเตรียมเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai) ในเดือนพฤศจิกายนนี้
การจัดโรดโชว์ครั้งนี้ บริษัทฯ สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนอย่างชัดเจน โดยเฉพาะศักยภาพการเติบโต จากโมเดลธุรกิจ ธุรกิจตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้การให้บริการที่ปรึกษาด้านการขายและการตลาดแก่ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (BU1) เพื่อช่วยให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์สามารถขายอสังหาริมทรัพย์ได้ตามเป้าหมาย รวมถึงให้บริการบริหารจัดการโครงการ (BU2) โดยช่วยวางแผนและบริหารการขายเพื่อเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สามารถชำระหนี้กับสถาบันการเงินได้ตรงตามสัญญา และมีเงินทุนหมุนเวียนในการก่อสร้าง (Pre-AMC) โดยอาศัยจุดแข็งจากเครือข่ายนายหน้าขนาดใหญ่ คล้ายกับเครือข่ายประกัน (Insurance Agency) ช่วยผลักดันยอดขาย และการทำธุรกิจซื้อขายอสังหาริมทรัพย์โดยบริษัทฯ เอง (BU3) ด้วยการซื้อทรัพย์มือสองที่ติดเป็น NPA หรือขาดสภาพคล่อง มารีโนเวทเพื่อขายทำกำไร ทำให้มีความหลากหลายของสินค้า คล้ายกับการเปิดมินิมาร์ท (MiniMart Model) ให้ผู้ประสงค์จะซื้อที่อยู่อาศัยได้มีทางเลือกในการตัดสินใจ ช่วยผลักดันให้ผลดำเนินงานมีการเติบโตอย่างโดดเด่น
การเติบโตของผลดำเนินงาน ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้ติตด่อกัน 6 ไตรมาส นับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดตลาดไลฟ์เอ็กซ์เช้นจ์ (LiVEx) ในปี 2566 โดยกำไรสุทธิเพิ่มจาก 47.74 ล้านบาท เป็น 80.76 ล้านบาท ในปีก่อน ตามรายได้ที่เร่งตัวจาก 258.16 ล้านบาท เป็น 360.76 ล้านบาท และมีแนวโน้มจะเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ในปีนี้ หลังจากครึ่งปีแรก ผลดำเนินงานทำได้เกือบเท่าปีก่อนแล้ว เมื่อบริษัทฯ มีรายได้ 340.76 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 63.30 ล้านบาท สาเหตุจากบริษัทฯ มีจุดแข็งในการ leverage เงินทุนเพื่อเข้าบริหารโครงการได้สูงเฉลี่ย 40 เท่าของเงินทุน ทำให้มีความสามารถในการทำกำไร (ROE) สูงถึง 65% ประกอบกับไม่มีหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยเลย ซึ่งการย้ายเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai จะทำให้บริษัทฯ มีเงินทุนรองรับแผนการเพิ่มโครงการเข้ามาบริหารได้มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านการเป็นที่ปรึกษาด้านการขายและการตลาดเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร