1133 จำนวนผู้เข้าชม |
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บมจ. หลักทรัพย์ บัวหลวง (BLS) ที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น บมจ. มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง ประเทศไทย (MRDIYT) เปิดเผยว่า พร้อมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 655 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 10.89% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมด ในช่วงราคาหุ้นละ 8.30 – 8.60 บาท จากราคาพาร์ หุ้นละ 0.50 บาท ระหว่างวันที่ 20 – 22 ตุลาคมนี้ ผ่านบริษัทฯ และบริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย (CGSI) ซึ่งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นร่วม พร้อมผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นในประเทศอีก 2 ราย ได้แก่ บมจ. หลักทรัพย์ กสิกรไทย (KS) บมจ. หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ ประเทศไทย (MST) ก่อนเปิดขายนักลงทุนสถาบัน ระหว่างวันที่ 27 - 29 ตุลาคม ผ่านผู้ร่วมจัดจำหน่ายหุ้นในต่างประเทศ 4 ราย ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจการเงินซีไอเอ็มบี (CIMB) กลุ่มธุรกิจการเงิน J.P. Morgan กลุ่มธุรกิจการเงิน UBS และบริษัทหลักทรัพย์ CLSA คาดว่า จะประกาศราคาสุดท้ายในวันที่ 24 ตุลาคมที่จะถึงนี้ และเตรียมเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้
สำหรับเงื่อนไขการจองซื้อ จะกำหนดราคาจองซื้อหุ้นที่ 8.60 บาท ซึ่งเป็นราคาสูงสุด โดยหากราคาสุดท้าย ต่ำกว่าราคาเสนอขายเบื้องต้น จะมีการชำระคืนเงินส่วนที่เกินให้กับนักลงทุนตามมา ซึ่งต่อมา ได้มีการประกาศราคาสุดท้ายที่ 8.60 บาท ทำให้ไม่ต้องมีการคืนเงินนักลงทุนรายย่อยแต่อย่างใด เมื่อกระแสจองซื้อหุ้นจากนักลงทุนสถาบันออกมาอย่างล้นหลาม (Oversubscription) ถือเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นในศักยภาพของ MRDIYT ว่า สามารถสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และสร้างคุณค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม ทำให้สามารถระดมทุนได้เป็นมูลค่าสูงถึง 5.6 พันล้านบาท สร้างสถิติหุ้น IPO ขนาดใหญ่ที่สุดของไทยในปีนี้
ด้านนายกนต์ธีร์ ประเสริฐวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) ที่ปรึกษาทางการเงินร่วม ชี้แจงว่า การกำหนดราคา IPO ที่หุ้นละ 8.60 บาท พิจารณาจากผลสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (Book Building) ของนักลงทุนสถาบันที่แสดงความสนใจจองซื้อหุ้นในเบื้องต้น โดยคำนึงถึงราคาที่จะทำให้บริษัทฯ และผู้ถือหุ้นเดิมได้รับเงินระดมทุนเพียงพอที่จะนำไปใช้พัฒนาและขยายสาขา พัฒนาระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ และชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน ที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน สนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ตามแผนที่วางไว้
อีกทั้งยังสอดคล้องกับการประเมินมูลค่าหลักทรัพย์ด้วยวิธีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (Price to Earnings Ratio หรือ P/E) คำนวณจากกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลดำเนินงาน 4 ไตรมาสล่าสุด ตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2567 ถึงไตรมาส 2 ปี 2568 คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิที่ 23.92 เท่า ถือเป็นราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน รวมถึงยังมีส่วนลด เมื่อเปรียบเทียบกับ P/E เฉลี่ยของบริษัทจดทะเบียนที่ทำธุรกิจคล้ายคลึงกันทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งอยู่ที่ 27.02 เท่า

ส่วนนายแอนดี้ ชิน กวานกุ้ย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MRDIYT ชี้แจงเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ มีแผนขยายสาขาใน 3 ปีนี้ (ปี 2568–70) เพิ่มไม่น้อยกว่า 500 สาขา เพื่อให้ครบ 1,500 แห่ง รวมถึงลงทุนสร้างคลังสินค้าอัตโนมัติขนาดใหญ่ มูลค่าการลงทุนกว่า 4.5 พันล้านบาท เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์และซัพพลายเชน ให้สามารถกระจายสินค้าครอบคลุมมากกว่า 1,500 สาขา ผลักดันส่วนแบ่งตลาดให้เติบโตอย่างโดดเด่น จากที่ทำได้ล่าสุด 9% รักษาความเป็นผู้นำตลาดค้าปลีกในรูปแบบ Chain Retailer พร้อมกับขับเคลื่อนให้ธุรกิจเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ปีละไม่ต่ำกว่า 15% สนับสนุนให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน โดยรักษาจุดแข็งในการนำเสนอสินค้าที่คุ้มค่าคุ้มราคา (Always Low Prices) ครอบคลุม 6 กลุ่ม ได้แก่ เครื่องใช้ในครัวเรือนและอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และเครื่องมือช่าง เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องเขียนและอุปกรณ์กีฬา ของเล่น และสินค้าเบ็ดเตล็ดอื่นๆ ควบคู่ไปกับการส่งมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สะดวกสบาย
สำหรับผลดำเนินงานดำเนินงาน 3 ปีล่าสุด (ปี 2565-67) มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านรายได้และกำไร โดยรายได้จากการขายเติบโตเฉลี่ยปีละเกือบ 21% จาก 9,925.6 ล้านบาท ในปี 2565 เป็น 12,804.9 ล้านบาท ในปี 2566 และ 16,145.6 ล้านบาท ในปี 2567 ส่วนกำไรสุทธิเพิ่มจาก 1,051.22 ล้านบาท เป็น 1,381.07 ล้านบาท และ 1,780.25 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอ้ตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 23% โดยสามารถรักษาอัตรากำไรสุทธิสูงกว่า 10.5% อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ผลดำเนินงานครึ่งแรกปีนี้ บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1,176.44 ล้านบาท เติบโต 48% จากครึ่งแรกปีก่อน ตามรายได้จากการขายที่เติบโต 24.7% มาอยู่ที่ 9,419.40 ล้านบาท