33 จำนวนผู้เข้าชม |
นายกิตติชัย นาคะประเสริฐกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวาณิชธนกิจ บมจ. หลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน ประเทศไทย (UOBKH) ที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น บมจ.อินดิจี (IDG) เปิดเผยว่า พร้อมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 28 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 28% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมด ที่ราคาหุ้นละ 3 บาท จากราคาพาร์ หุ้นละ 0.50 บาท ระหว่างวันที่ 15 – 17 ตุลาคมนี้ ผ่านบริษัทฯ และผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 2 ราย คือ บมจ. หลักทรัพย์ ไอร่า (AIRA) และบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ (TNITY) คาดว่า จะเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai) วันที่ 24 ตุลาคมนี้
สำหรับการตั้งราคา IPO ใช้วิธีอัตราส่วนราคาต่อหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) โดยพิจารณาจากกำไรสุทธิย้อนหลัง 4 ไตรมาสล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ซึ่งอยู่ที่ 17.65 เท่า ถือได้ว่าสอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน และศักยภาพการเติบโตในฐานะหนึ่งในผู้นำการเป็นผู้นำที่ปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันแบบครบวงจร และผู้พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลชั้นนำแบบ End-to-End ครอบคลุม Consulting, Integration, Platform, Academy และ Market พร้อมพัฒนาโซลูชัน Transformation+ (Work+, Biz+, Life+, 365+) เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งมีการวิจัยและพัฒนา (R&D) อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และความต้องการด้าน AI, IoT และ Sustainability ทำให้องค์กรชั้นนำให้ความไว้วางใจเลือกเป็นพันธมิตรด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันมายาวนานกว่า 25 ปี
ด้านนายวิธาน ฉั่วเจริญศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร IDG ชี้แจงว่า บริษัทฯ ทำธุรกิจพัฒนาโซลูชันและบริการที่เน้นตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของลูกค้า โดยฐานลูกค้ากว่า 85% เป็นองค์กรขนาดใหญ่ภาคเอกชน และเอนเตอร์ไพรส์ (Enterprise) กระจายตัวในอุตสาหกรรมการเงิน สุขภาพ อาหารและเครื่องดื่ม และเทคโนโลยีสารสนเทศ มีโครงสร้างรายได้จาก 4 กลุ่มธุรกิจ กลุ่มแรกเป็นการขายซอฟต์แวร์ Microsoft และซอฟต์แวร์ที่บริษัทฯ พัฒนาเอง กลุ่มที่สอง การให้บริการพัฒนาระบบดิจิทัล ซึ่งจะรับรู้รายได้ตามความสำเร็จของงาน กลุ่มที่สาม การให้บริการบำรุงรักษาระบบและซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นสัญญาบริการระยะยาว และกลุ่มสุดท้าย การให้บริการอื่นๆ เช่น การให้คำปรึกษา การจัดฝึกอบรม และให้บริการระบบคลาวด์ ช่วยผลักดันให้ผลดำเนินงาน 3 ปีล่าสุด (ปี 2565-67) เติบโตอย่างต่อเนื่อง (ยกเว้นปี 2566 ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ลูกค้าทั้งภาครัฐและเอกชนชะลอการลงทุนตามไปด้วย) กระนั้น บริษัทฯ สามารถรักษาฐานรายได้ได้เกิน 115 ล้านบาท และกำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 11.09 ล้านบาท มาได้โดยตลอด

ขณะที่ผลดำเนินงานครึ่งแรกปีนี้ มีรายได้และกำไรเติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า โดยรายได้เพิ่มขึ้น 15.8% มาอยู่ที่ 64.43 ล้านบาท ส่วนกำไรเติบโตเกือบ 30% มาอยู่ที่ 7.59 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการขยายฐานตลาดอย่างต่อเนื่อง และการหันมาขายซอฟท์แวร์ที่เป็นของบริษัทฯ เต็มตัวมากขึ้น ทำให้สามารถเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นให้สูงขึ้น
ประการสำคัญ การเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนให้บริษัทฯ เติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการนำเงินที่ได้จากการระดมทุนเกือบ 75 ล้านบาท ไปใช้ลงทุนวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ราว 20 ล้านบาท รวมถึงขยายสำนักงานและศูนย์บริการธุรกิจดิจิทัล (Digital Business Center) 25 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยสร้าง New Growth Engine ในระยะต่อไป อีกเกือบ 30 ล้านบาท ที่เหลือนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สามารถรองรับการเติบโตของกระแสดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ตามแผนธุรกิจ 3 ปี (ปี 2568-70) ที่วางไว้ ก่อนเติบโตก้าวกระโดดภายใน 5 ปีข้างหน้า