ASP เชื่อ ไตรมาส 4 หุ้นไทยขาขึ้นจำกัด แนะรอจังหวะซื้อลงทุนหุ้นใหญ่ 5 ธีม และแบ่งเงินลงทุนหุ้นกู้คุณภาพ

2043 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ASP เชื่อ ไตรมาส 4 หุ้นไทยขาขึ้นจำกัด แนะรอจังหวะซื้อลงทุนหุ้นใหญ่ 5 ธีม และแบ่งเงินลงทุนหุ้นกู้คุณภาพ


 

 

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส (ASP) เปิดมุมมองการลงทุนไตรมาสสุดท้ายปี 2568 ยังคงผันผวน หลังสภาพคล่องยังคงล้นระบบ (Liquidity Driven Rally) ส่งผลให้มีเงินทุนไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงและทองคำมากเป็นพิเศษ เห็นได้จากบรรยากาศการลงทุนในเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีเม็ดเงินไหลเข้ากองทุนรวมดัชนีสินทรัพย์ต่างๆ (ETF) สูงกว่า 2.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในจำนวนนี้เป็นกองทุนทองคำมากถึง 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ตลาดหุ้นโลกอเมริกามีระดับการใช้ Margin สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ 7 บริษัท หรือหุ้น 7 นางฟ้า (The Magnificent Seven – MAG7) ที่ราคาทำสถิติสูงสุดใหม่เรื่อยๆ ขานรับผลดำเนินงานที่ออกมาดีกว่าคาด สะท้อนแรงเก็งกำไรที่สูง สวนทางเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่ยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัวต่อเนื่อง พร้อมกับสร้างความกังวลเรื่องภาวะฟองสบู่ (AI Bubble) ตามมา ดังนั้น หากมีแรงขายหุ้นกลุ่มนี้ออกมา จะกดดันให้ตลาดหุ้นโลกและตลาดหุ้นไทยผันผวนแรง พร้อมกับส่งสัญญาณให้เห็นถึงการสลับเม็ดเงินเข้าหาหุ้นปลอดภัย (Defensive) กลุ่มอุตสาหกรรมการเงิน พลังงาน และเฮลธ์แคร์แทน

สำหรับหุ้นไทย คงคาดหวังกระแสเงินทุน (Fund Flow) ได้จำกัด ตามภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตต่ำ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ไทยกับอเมริกาที่แคบลง หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้และอีก 1 ครั้งในปีหน้า หนุนให้เงินบาทแข็งค่า โดยพอจะคาดหวัง Fund Flow ได้บ้างในช่วงที่ดอกเบี้ยเริ่มลด ส่งผลให้ประเมินดัชนีตลาดสิ้นปีที่ 1,376 จุด เหมือนเดิม อิงจากกำไรบริษัทจดทะเบียนทั้งปี 2568 ที่ 1.06 ล้านล้านบาท คิดเป็นอ้ตรากำไรต่อหุ้น (EPS) เฉลี่ยที่หุ้นละ 86 บาท หลังจากครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 5.9 แสนล้านบาท พร้อมแนะนำกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี กระแสเงินสดมั่นคง ราคายัง laggard อิง 5 ธีม คือ ธีม China Plays รับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน อย่าง SCGP, IVL ธีมที่สอง Tariff Play แนะนำ WHA ธีมที่สาม หุ้นได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย เช่น CPAXT ธีมที่สี่ หุ้นได้ประโยชน์บาทจากเงินบาทแข็งค่า นำโดย GULF และธีมที่ 5 หุ้นปันผลสูง โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคาร และสื่อสาร รวมถึงอาจเก็งกำไรหุ้นมีประเด็นรายตัว อาทิ BPP ที่คาดจะกลับมาติดดัชนี SET100 ประจำงวดครึ่งแรกปี 2569 หรือหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก Bond Yield ดีดตัว อย่าง BLA หรือหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเลือกตั้ง และราคายังถูก เช่น PLANB

ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ การที่ช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ มีผู้ออกตราสารหนี้ผิดนัดชำระแล้ว 6 ราย และขอเลื่อนชำระอีก 12 ราย รวมเป็น 16 ราย ทำให้นักลงทุนหันมาซื้อแบบ Selective Buy มากขึ้น ส่งผลให้มูลค่าการลงทุนหุ้นกู้ภาคเอกชนระยะยาวลดลง 9.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน มาอยู่ที่ 6.4 แสนล้านบาท (โดยหุ้นกู้กลุ่ม Investment Grade ลดลง 8.8% ส่วนหุ้นกู้เสี่ยงสูง กลุ่ม High Yield ลดลงถึง 13.5%) ฉุดให้มูลค่าการซื้อขายในตลาดตราสารหนี้โดยรวมเพิ่มขึ้น 3.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เป็น 17.7 ล้านล้านบาท ส่งผลให้ความต้องการลงทุนหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตตั้งแต่ BBB+ ขึ้นไป และอายุไม่เกิน 1 ปี เพิ่มสูงขึ้น เช่นเดียวกับหุ้นกู้ไม่มีวันครบกำหนด (Perpetual Bonds) ของบริษัทที่มีชื่อเสียง มีเครดิตเรทติ้ง A- ขึ้นไป และอายุคงเหลือไม่เกิน 3 ปี ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า 3.50% ยังมีความต้องการอยู่ ขณะที่หุ้นกู้ออกใหม่ในตลาดแรก จะต้องให้ผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 4.5% เพื่อดึงดูดนักลงทุน ส่งผลให้กลยุทธ์การลงทุน ควรรอจังหวะซื้อช่วงตลาดปรับฐาน เพื่อทำกำไรระยะสั้น เน้นไปที่พันธบัตรรัฐบาลอายุปานกลาง ที่เป็น Benchmark (On-the-run) ส่วนผู้ที่ลงทุนระยะยาว ให้เน้น Perpetual Bonds หรือหุ้นกู้ที่มีเครดิตไม่ต่ำกว่า BBB อายุไม่เกิน 1-2 ปี โดยเฉพาะกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม การแพทย์ และเกษตร ซึ่งเป็นธุรกิจเกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีวิต

 

 

 

 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้