1627 จำนวนผู้เข้าชม |
บมจ. กันกุล เอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) เปิดเผยผลดำเนินงานงวดไตรมาส 3 ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 457 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) แต่ลดลง 6% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) แต่หากตัดรายการพิเศษออกไป จะมีกำไรจากการดำเนินงาน 457 ล้านบาท ลดลง 4% YoY และลดลง 4.5% QoQ ทำได้ดีกว่าที่ตลาดคาด หนุนจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ทำได้มากกว่าคาด ทั้งที่รายได้รวมจะลดลง 22.5% YoY แต่เพิ่มขึ้น 0.5% QoQ มาอยู่ที่ 1,837.55 ล้านบาท
โดยการลดลงของรายได้ YoY มีสาเหตุจากการลดลงของรายได้จากธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง (EPC) ธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้า (Manufacturing) และธุรกิจขายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาให้กับเอกชน (Private PPA Solar Rooftop) จากฐานที่สูงในไตรมาส 3 ปีก่อน แม้จะได้รับการชดเชยบางส่วนจากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม และการร่วมค้าที่เพิ่มขึ้น 32% มาที่ 257 ล้านบาทก็ตาม
ส่วนการเพิ่มขึ้น QoQ หนุนจากธุรกิจพลังงานสะอาด ที่สามารถจำหน่ายไฟฟ้าได้เพิ่มขี้น โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ได้แรงหนุนจากกระแสลมดีขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล แม้จะถูกบั่นทอนจากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่มีค่าความเข้มแสงลดลงบ้างก็ตาม อีกทั้งยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม และการร่วมค้าที่เติบโตถึง 104% รวมถึงธุรกิจ EPC ที่มีการรับรู้รายได้เพิ่มจากการได้งานเพิ่มขึ้น ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อเนื่องตามกลยุทธ์ที่วางไว้
การรักษาการเติบโตของกำไรได้ต่อเนื่องทั้ง 3 ไตรมาส ผลักดันให้ผลดำเนินงานงวด 9 เดือนของ GUNKUL สามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรให้เติบโต 10-15% ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ สะท้อนจากกำไรสุทธิที่ทำได้ 1,309 ล้านบาท และกำไรจากการดำเนินงาน 1,381 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% และ 10% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ตามลำดับ ทั้งที่รายได้รวมช่วง 9 เดือนปีนี้ จะลดลง 21% มาอยู่ที่ 5,924 ล้านบาท พร้อมกับประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ในอัตราหุ้นละ 0.04 บาท กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (วันขี้น XD) 27 พฤศจิกายน ก่อนจ่ายเงินตามมาในวันที่ 11 ธันวาคม

พร้อมกันนี้ นางสาวนฤชล ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GUNKUL ได้ออกมาเปิดเผยแนวโน้มธุรกิจช่วงโค้งสุดท้ายปีนี้ต่อเนื่องปี 2569 ด้วยว่า ยังคงเดินหน้าสร้างมูลค่าบนจุดแข็งของธุรกิจพลังงานสะอาดที่ครอบคลุม Value Chain ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ และสร้างการเติบโตต่อเนื่องในทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจหลัก โดยธุรกิจ Green Power คาดว่า ว่าจะมีการเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพิ่มอีกราว 319 เมกะวัตต์ (MW) ซึ่งจะทำให้พอร์ตโฟลิโอพลังงานไฟฟ้าสีเขียวเพิ่มเป็น 1,585 MW รวมถึงการทยอยพัฒนาโครงการในมือ กำลังการผลิตไฟฟ้ารวมกว่า 1,000 MW สร้างการรับรู้เป็นรายได้ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป ขณะที่โครงการที่ฟิลิปปินส์ มีความคืบหน้าในขั้นตอนการเจรจามากขึ้น พร้อมกับต่อยอดความร่วมมือเชิงรุกสำหรับโครงการ Direct PPA ในกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม ทั้งเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตสะสมเป็น 2,000 MW ภายในปี 2570 ก่อนต่อยอดไปสู่ธุรกิจ New S-Curve อย่าง Green Infrastructure และ Data Center ที่เป็นเมกะเทรนด์ และเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2593 ตามโรดแมปของประเทศ
ส่วนธุรกิจ EPC หลังจากชนะประมูลโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่เข้ามาเพิ่มเติม เพิ่มมูลค่างานรอรับรู้รายได้ (Backlog) เพิ่มเป็นกว่า 8,000 ล้านบาท เติบโตจากไตรมาส 2 กว่าเท่าตัว คิดรวมโครงการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าแรงสูง 500 กิโลโวลต์ ที่บริษัทฯ ได้เซ็นสัญญากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) แล้วในครึ่งปีแรก คาดว่า จะสามารถรับรู้รายได้ในไตรมาสสุดท้ายปีนี้ราว 1,300 – 1,500 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ บริษัทฯ มีแผนจะเข้าร่วมประมูลโครงการจากทั้งภาคเอกชนและหน่วยงานรัฐอย่างต่อเนื่อง เพื่อต่อยอดการเติบโตของรายได้ในระยะต่อไป ไม่ว่าจะเป็นโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำที่เขื่อน หรือโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของ กฟผ. รวมถึงการผลักดันโครงการ Quick Big Win ที่คาดว่าจะทำให้มีการเปิดประมูลงานรวมกันกว่า 2.25 แสนล้านบาท

ขณะที่ธุรกิจ Manufacturing หลังจากบริษัทฯ ได้รับการแต่งตั้งจาก SUNGROW ผู้นำด้านอินเวอร์เตอร์และแบตเตอรี่โซลูชั่นอันดับ 1 ของโลก ให้เป็นผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทย ทำให้เตรียมเดินหน้าขยายเครือข่ายพาร์ตเนอร์จัดจำหน่ายเชิงรุก เน้นจับกลุ่มลูกค้ากลุ่มโมเดิร์นเทรด ร้านค้าประจำจังหวัด ผู้รับเหมาและบริษัทด้านธุรกิจพลังงานชั้นนำ เพื่อกระจายสินค้าให้เข้าถึงทุกขนาดกำลังการติดตั้งครอบคลุมบ้านเรือน ชุมชน และอุตสาหกรรมทั่วประเทศ เพื่อรองรับการเติบโตของตลาด ซึ่งได้แรงหนุนจากมาตรการโซลาร์ฟาร์มชุมชน และนโยบายลดหย่อนภาษีโซลาร์เซลล์ กระตุ้นความต้องการให้เพิ่มขึ้นอยางต่อเนื่อง ขับเคลื่อนการเติบโตของรายได้รวม 3 ปีนี้ทะลุ 35,000 ล้านบาท