LEO แย้ม โค้งสุดท้ายปี 2568 โตเด่น ทั้งธุรกิจ Logistics และ Non-Logistics สร้างรายได้ยั่งยืน

1103 จำนวนผู้เข้าชม  | 

LEO แย้ม โค้งสุดท้ายปี 2568 โตเด่น ทั้งธุรกิจ Logistics และ Non-Logistics สร้างรายได้ยั่งยืน


 

 

นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ (ซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนายมานพ ปัจวิทย์ (ขวา) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บมจ. ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) ร่วมกันชี้แจงแนวโน้มธุรกิจไตรมาสสุดท้ายปี 2568 ผ่านกิจกรรมบริษัทจดทะเบียนพบนักลงทุน (Opportunity Day) งวดไตรมาส 3 ปีนี้ว่า มีทิศทางสดใสขึ้น ทั้งในกลุ่มธุรกิจ Logistics และกลุ่มธุรกิจ Non-Logistics สอดรับกับภาวะการค้าระหว่างประเทศที่ฟื้นตัวดีขึ้น หลังจากจากมีความชัดเจนเรื่องนโยบายภาษีนำเข้าของอเมริกา ขณะเดียวกัน บริการที่เกี่ยวเนื่องกับ Green Logistics และ ESG Focused เริ่มเห็นสัญญาณการเติบโตชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ จนน่าจะสร้างความเข้มแข็งทางธุรกิจให้กับบริษัทฯ ได้ภายใน 2-3 ปีข้างหน้านี้

สำหรับแผนธุรกิจในปี 2569 บริษัทฯ พร้อมต่อยอดความร่วมมือกับพันธมิตรในหลายประเทศ ขยายเส้นทางขนส่งไปยังตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูงในเอเชียและยุโรป มุ่งเน้นไปธุรกิจโลจิสติกส์ข้ามแดน และการเชื่อมต่อการขนส่งสินค้าทางรางระหว่างไทย–จีน ไปยังตลาดจีนตอนใต้และยุโรป เพื่อให้สามารถตอบความต้องการตลาด ซึ่งมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ควบคู่ไปกับการต่อยอดธุรกิจ Non-Frieght และ Non-Logistics ที่มีการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงบริการที่เกี่ยวเนื่องกับ Green Logistics และ ESG Focused ของบริษัทฯ ให้เติบโตเพิ่มขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงจากธุรกิจให้บริการขนส่ง (Freight) ที่มีความผันผวนจากภาวะเศรษฐกิจโลกและอัตราค่าระวางได้มากขึ้น และช่วยขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ขณะที่ผลดำเนินงานงวดไตรมาส 3 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป LEO มีกำไรสุทธิ 2.3 ล้านบาท ลดลง 82% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) และลดลง 57% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) โดยการลดลง YoY ได้รับผลกระทบจากความไม่ชัดเจนของนโยบายภาษีนำเข้าของอเมริกา ฉุดให้การค้าระหว่างประเทศสะดุด และอัตราค่าระวางเรือปรับลดลง ส่งผลให้รายได้จากธุรกิจ Freight โดยเฉพาะการขนส่งทางทะเล (Sea Freight) ซึ่งมีสัดส่วนรายได้สูงราว 72% ของรายได้รวมทั้งหมด  ลดลง 39% มาอยู่ที่ 247.6 ล้านบาท ทั้งที่รายได้จากธุรกิจ Non-Frieght และ Non-Logistics ช่วงก่อนหน้านี้ อย่างการให้บริการขนส่งทางรางจะเติบโตก้าวกระโดด หรือการให้บริการรับฝากและซ่อมตู้คอนเทนเนอร์ (Container Depot) จะเติบโตแข็งแกร่งขึ้น แต่การลงทุนธุรกิจใหม่ๆ จำเป็นต้องใช้เวลาสร้างรายได้ให้ถึงจุด Breakeven ครอบคลุมค่าเสื่อมและดอกเบี้ยที่เกิดจากการลงทุน ทำให้รายได้รวมลดลง 33% มาอยู่ที่ 346 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบ QoO รายได้จากธุรกิจ Non-Frieght และ Non-Logistics กลับเติบโตดีขึ้น ส่งผลให้รายได้รวมเพิ่มขึ้น 3%

และการเติบโตของรายได้จากธุรกิจ Non-Frieght และ Non-Logistics ช่วยลดผลกระทบที่เกิดกับธุรกิจ Frieght ซึ่งเป็นธุรกิจหลักได้ในระดับหนึ่ง ส่งผลให้รายได้งวด 9 เดือนปีนี้ ลดลง 17% มาอยู่ที่ 1,029.3 ล้านบาท แต่ก็ทำให้บริษัทฯ ยังมีภาระขาดทุนจากบริษัทร่วม และบริษัทย่อย จึงทำให้กำไรสุทธิลดลง 52% มาอยู่ที่ 16.3 ล้านบาท

 

 

 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้