1335 จำนวนผู้เข้าชม |
นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. มาสเตอร์ สไตล์ (MASTER) ออกโรงชี้แจงถึงสาเหตุที่ทำให้ผลดำเนินงานปี 2568 มีแนวโน้มอ่อนแอกว่าที่ตลาดคาด ว่าเกิดจาก 2 สาเหตุ ประการแรก รายได้รวมลดลง สวนทางค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น โดยเมื่อพิจารณาจากผลดำเนินงานงวด 9 เดือน การลดลงของรายได้ มาจากรายได้จากการดำเนินงานของบริษัทฯ เองที่ชะลอตัว 5.7% มาอยู่ที่ 1,415.30 ล้านบาท หลักๆ จากรายได้จากการศัลยกรรม โดยเฉพาะศัลยกรรมยกคิ้วและจมูก และดูดไขมัน ของลูกค้าคนไทยลดลงตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจ แม้จะชดเชยได้บางส่วนจากการเติบโตของลูกค้าต่างชาติ อีกสวนหนึ่งมาจากส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง 37% เป็น 11.85 ล้านบาท ถูกกดดันจากผลขาดทุนในบริษัท วี เอ็กคลูซีฟ กรุ๊ป ที่มีการเปิดสาขาใหม่หลายสาขา และกำไรที่ลดลงของบริษัท คิน คอร์ปอเรชั่น (KIN) ตามการชะลอตัวของธุรกิจโฆษณา และอสังหาริมทรัพย์
ขณะที่ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เกิดจากค่าตอบแทนแพทย์ที่ปรับขึ้นตามประสบการณ์และผลงาน กับค่าใช้จ่ายในการขายที่เพิ่มขึ้น จากการปรับกลยุทธ์การตลาดให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์การโฆษณาใหม่ของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิปรับลดลงจาก 19.4% เหลือ 10.6% ฉุดให้กำไรสุทธิลดลง 48.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เหลือ 151.91 ล้านบาท
ประการที่สอง ธุรกิจได้รับผลกระทบจากปัจจัยนอกเหนือการควบคุม ช่วงปลายไตรมาส 3 ต่อเนื่องไตรมาสสุดท้ายของปี ไม่ว่าจะเป็น ผลกระทบจากการดึงตัวบุคลากรสำคัญ ทั้งแพทย์ พนักงานระดับสูงฝ่ายขาย ฝ่ายการตลาด Digital Content มากกว่า 15 คน จากคู่แข่ง ทำให้ข้อมูลรั่วไหล ต้องปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ และวางระบบหลังบ้านใหม่เกือบทั้งหมด หรือสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา กดดันให้รายได้จากลูกค้ากลุ่มนี้หายไปเกือบทั้งหมด รวมถึงสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ ฉุดให้รายได้จากโรงพยาบาลศัลยกรรมเสริมความงาม ทีวายพี (TYP) ซึ่งเป็นบริษัทร่วม และเริ่มสร้างกำไรได้ดีขึ้นเป็นลำดับ ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอีกสักระยะ

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ เชื่อมั่นว่า จะสามารถจัดการปัญหาที่นอกเหนือการควบคุมได้อย่างช้าที่สุด ภายในไตรมาสแรกปี 2569 ประกอบกับ การปรับกลยุทธ์มาเน้นเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน การบริหารจัดการต้นทุน และการรุกขยายตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ทำให้น่าจะเห็นการฟื้นตัวของผลดำเนินงานได้ตั้งแต่ไตรมาสแรกปีหน้าเป็นต้นไป แต่อัตราการเติบโตของรายได้คงไม่เกิน 10% ขับเคลื่อนจากการเติบโตของลูกค้าต่างประเทศ ที่คาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้เพิ่มจาก 30% ในปีนี้ กลับขึ้นมาเป็น 40% หลักๆ มาจากกลุ่มลูกค้าอินโดนีเซียราว 60-70% ที่เหลือกระจายตัวในกลุ่มลูกค้าลาว เวียดนาม และเมียนมาร์ ขณะที่การเติบโตจากตลาดในประเทศ จะใช้กลยุทธ์การตลาด (เน้นไปที่ช่องทางโซเชียลมีเดียเป็นหลัก เพราะลูกค้าราว 98% มาจากช่องทางนี้) ควบคู่ไปกับการบริหารต้นทุนและโครงสร้างราคาที่เหมาะสม และเพิ่มสัดส่วนบริการเฉพาะทางที่มีอัตรากำไรสูง รวมถึงร่วมมือกับพันธมิตรในธุรกิจโรงพยาบาลศัลยกรรม และธุรกิจเสริมอาหารเพื่อความงาม เพื่อขยายฐานรายได้ และเพิ่มอัตรากำไรสุทธิให้สูงกว่าปีนี้