5464 จำนวนผู้เข้าชม |
นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บมจ. หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น บมจ. ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น (SINO) เปิดเผยว่า พร้อมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 292 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท (แบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 240 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 23.08% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นใหญ่ นายเถิ่ง ฟ้ง เหยิ่ง จำนวน 52 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 5.00% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้) ในราคาหุ้นละ 1.40 บาท ระหว่างวันที่ 13 - 15 กันยายนนี้ ผ่านบริษัทฯ และผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 7 ราย ประกอบด้วย บมจ. หลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน (KCS) บมจ. หลักทรัพย์ เคจีไอ ประเทศไทย (KGI) บมจ. หลักทรัพย์ ดาโอ ประเทศไทย (DAOL) บมจ. หลักทรัพย์ บียอนด์ (BYD) บมจ. หลักทรัพย์ อาร์เอชบี ประเทศไทย (RHBS) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส (ASPS) และบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก (GBX) คาดว่าจะสามารถเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันที่ 20 กันยายนนี้
ทั้งนี้ การกำหนดราคา IPO ที่ 1.40 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E) ที่ 6.90 เท่า เมื่อคำนวณจากกำไรสุทธิของบริษัทฯ ช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด นับจากวันที่ 1 กรกฎาคมปีที่แล้ว ถึงวันที่ 30 มิถุนายนปีนี้ ซึ่งถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์อุตสาหกรรมขนส่งทางเรือ และปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ จากทีมผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญในการให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศแบบครบวงจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นเบอร์หนึ่งในการขนส่งทางทะเลในทุกเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นไทย-สหรัฐฯ ไทย-ยุโรป ซึ่งเป็นตลาดส่งออกใหญ่ที่สุดของไทย และสนับสนุนให้รายได้ของบริษัทฯ ขยายตัวสูงขึ้นตามไปด้วย เพราะโครงสร้างรายได้หลักมาจากการขนส่งทางทะเลกว่า 90%
สำหรับจุดเด่นของ SINO อยู่ที่การมีศักยภาพการเติบโตในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นแผนขยายการให้บริการรับฝากตู้สินค้าคอนเทนเนอร์ แผนลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง หรือการร่วมลงทุนกับพันธมิตร จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตได้ในทุกมิติ อีกทั้งภาวะอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่กำลังกลับมาสดใสในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ดูได้จากค่าระวางเรือที่เริ่มขยับตัวสูงขึ้น ที่บ่งชี้ให้เห็นค่าระวางก้าวผ่านจุดต่ำสุดแล้ว (Bottom out) และช่วง High Season ของธุรกิจส่งออก ทำให้เชื่อมั่นว่า นักลงทุนจะให้การตอบรับ SINO เป็นอย่างดี
ส่วนนางสาวจิรยง อนุมานราชธน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี (J Capital) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวเสริมว่า SINO เป็นบริษัทฯ ที่มีพื้นฐานการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง เนื่องจากมี OTI License และได้วางหลักประกัน FMC Bond ทำให้สามารถทำสัญญาการบริการกับสายเดินเรือในการขนส่งสินค้าไปยังประเทศแถบโซนอเมริกาเหนือได้ด้วยตนเอง ทำให้สามารถนำเสนอโซลูชันการให้บริการขนส่งสินค้าที่ตอบทุกความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ การเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน ด้วยแผนขยายฐานลูกค้าในภูมิภาคอาเซียน และการขยายพื้นที่ตู้รับฝากตู้คอนเทนเนอร์เพิ่มเติมในจังหวัดระยอง ยังจะช่วยผลักดันการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนได้ด้วย
ขณะที่นายนันท์มนัส วิทยศักดิ์พันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น (SINO) ชี้แจงว่า บนเส้นทางการดำเนินธุรกิจกว่า 10 ปี ในการเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ ระหว่างประเทศแบบครบวงจร ทั้งจากการให้บริการจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (Freight Forwarder) ทางทะเล ทางอากาศ และทางบก รวมถึงการให้บริการให้เช่าคลังสินค้า การให้บริการด้านพิธีการศุลกากร และการให้บริการสนับสนุนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์ เพื่อตอบความต้องการของลูกค้าที่ต้องการขนส่งสินค้า ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางทั่วโลก โดยอาศัยความชำนาญในการให้บริการขนส่งสินค้าทางทะเลมากกว่า 100 ประเทศ ครอบคลุมเส้นทางไทย-โซนอเมริกาเหนือ เส้นทางไทย-เอเชีย และเส้นทางไทย-ยุโรป ซึ่งถือเป็นเส้นทางหลักในการค้าระหว่างประเทศ ทั้งรูปแบบการขนส่งแบบเต็มตู้ และแบบไม่เต็มตู้คอนเทนเนอร์ ด้วยมาตรฐานการให้บริการที่มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพ และตรงต่อเวลา ทำให้การเดินหน้าเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัทฯ ที่จะยกระดับตัวเองขึ้นไปสู่การเป็นผู้นำให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจร ในระดับภูมิภาค
สำหรับกลยุทธ์ในการต่อยอดความสำเร็จ บริษัทฯ จะใช้ความชำนาญด้านบริการขนส่งทางทะเลในเส้นทางสหรัฐฯ เพื่อขยายฐานลูกค้าไปยังเวียดนาม มาเลเซีย กัมพูชา และอินโดนีเซีย เพื่อเพิ่มปริมาณการขนส่งสินค้าทางทะเลให้มากขึ้น ประกอบกับแผนเข้าร่วมลงทุนกับพันธมิตรที่ประกอบธุรกิจ Freight Forwarding ทั้งในประเทศและกลุ่มประเทศอาเซียน และลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ควบคู่กับการลงทุนขยายพื้นที่ให้บริการรับฝากตู้สินค้าคอนเทนเนอร์ และตู้ ISO Tank เพิ่มเติม ยังจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวให้ดียิ่งขึ้น เพิ่มโอกาสในการเติบโต และสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้นอย่างมั่นคงในระยะยาว