ITC หั่นเป้ารายได้และกำไรปี 2568 ลง ทั้งเพื่อรับมาตรการภาษี และสะท้อนกำไรไตรมาสแรกที่ลดลง YoY และ QoQ
1627 จำนวนผู้เข้าชม |
บมจ. ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น (ITC) ประกาศผลดำเนินงานงวดไตรมาสแรกปี 2568 มีกำไรสุทธิ 677 ล้านบาท ลดลง 17.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) และลดลง 14.4% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) สาเหตุหลักจากการลดลงของยอดขายสินค้าพรีเมียม ราคาขายเฉลี่ยที่ลดลง อีกทั้งมีต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตรากําไรสุทธิไตรมาสแรกปีนี้ปรับลดลง จาก 20.4% ในไตรมาสแรกปีก่อน และ 16.8% ในไตรมาสสุดท้ายปีก่อน ลงมาเหลือเพียง 15.9%
สำหรับยอดขายในไตรมาสแรก อยู่ที่ 4,248.7 ล้านบาท ลดลง 9.6% QoQ จากความต้องการที่ลดลงตามฤดูกาล และการแข่งขันด้านราคา เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด แต่เพิ่มขึ้น 5.5% YoY หนุนจากตลาดอเมริกาที่เติบโตสูง ช่วยชดเชยยอดขายในภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย และยุโรป ที่ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้สัดส่วนการขายในตลาดอเมริกาเพิ่มขึ้นเป็น 60% ขณะที่ภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย กับยุโรปลดลง เป็น 28% และ 12% ตามลําดับ
จากการที่ ITC มีลูกค้าหลักเป็นสหรัฐฯ กว่า 60% ทำให้มีโอกาสได้รับผลกระทบจากการปรับภาษีขึ้นอย่างมาก ทำให้งผู้บริหาร ITC ออกมาประเมินผลกระทบเบื้องต้นที่จะเกิดกับบริษัทฯ ไว้ 2 กรณี คือกรณีอัตราภาษี 10% ตลอดทั้งปี และกรณีที่อัตราภาษี 10% มีผลอีกเพียง 2 เดือน ก่อนเพิ่มเป็น 36% ในอีก 7 เดือนที่เหลือของปี ส่งผลให้มีการปรับประมาณการใหม่ โดยคาดรายได้จะเติบโตลดลงจากประมาณการเดิมที่คาดไว้ที่ 13-15% ลงมาเหลือ 11-13% ในกรณีแรก และ 6-8% ในกรณีหลัง ทำให้กำไรขั้นต้นมีแนวโน้มจะปรับลดลงอยู่ในกรอบ 20-25% จากที่คาดไว้เดิมที่ 26-27% เมื่อประเมินจากการที่บริษัทฯ มีการล๊อคคำสั่งซื้อล่วงหน้าไว้แล้วราว 83% ของเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม กับภาพระยะสั้น ผู้บริหารยังมีความมั่นใจว่า แม้ภาษีจะเพิ่ม แต่ลูกค้าในสหรัฐฯ จะยังมีการสั่งซื้อกับบริษัทฯ เหมือนเดิม เนื่องจากปัจจุบันกำลังการผลิตสินค้ากลุ่ม Wet Pet food ในสหรัฐฯ ใกล้เต็มแล้ว และหากจะเพิ่มกำลังการผลิตใหม่ ต้องใช้เวลากว่า 12-18 เดือน พร้อมกันนี้ มีแผนจะเร่งส่งออกไปอเมริกาในช่วงที่ภาษียังคงอยู่ที่ 10% รวมถึงขยายตลาดอื่น เพื่อกระจายความเสี่ยงในการทำธุรกิจ ตลอดจนเพิ่มการเติบโตของสินค้าใหม่ ขณะที่แผนระยะยาว บริษัทฯ เตรียมขยายฐานการผลิตไปยังอเมริกา ทั้งในรูปแบบการร่วมลงทุน หรือซื้อกิจการ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในปีหน้า
