SCC กำไรไตรมาสแรกดีเกินคาด ธุรกิจซีเมนต์เป็นพระเอก พร้อมเผย 4 กลุยทธ์รับมือมาตรการภาษี  

1825 จำนวนผู้เข้าชม  | 

SCC กำไรไตรมาสแรกดีเกินคาด ธุรกิจซีเมนต์เป็นพระเอก พร้อมเผย 4 กลุยทธ์รับมือมาตรการภาษี  




บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย หรือเอสซีจี (SCC) รายงานผลดำเนินงานงวดไตรมาสแรกปี 2568 ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ค่อนข้างมาก โดยมีกำไรสุทธิ 1,099 ล้านบาท ฟื้นตัวจากขาดทุน 512 ล้านบาท ในไตรมาสสุดท้ายปีก่อน (QoQ) สาเหตุจากการบริหารจัดการภายใน และการปรับปรุงประสิทธิภาพของทุกธุรกิจ รวมถึงผลดำเนินงานของธุรกิจซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างที่พลิกจากขาดทุนมาเป็นมีกำไรรวม 2,411 ล้านบาท รับแรงหนุนจากการเบิกจ่ายภาครัฐที่กลับสู่ระดับปกติ รวมถึงการปรับขึ้นราคาปูนซีเมนต์ตันละ 400 บาท ตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ประกอบกับธุรกิจบรรจุภัณฑ์ของ SCGP ที่ดีกว่าคาด ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมี ของ บมจ. เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) ยังมีผลขาดทุนต่อเนื่องที่ 2,948 ล้านบาท แต่ขาดทุนน้อยลง จากการหยุดการผลิตโครงการ LSP ทำให้ overhead cost ลดลง พร้อมกับกดดันให้รายได้จากการขายปิโตรเคมีหดตัว 15% เหลือ 50,177 ล้านบาท ฉุดให้รายได้จากการขายรวมลดลง 5% มาอยู่ที่ 124,392 ล้านบาท และหากไม่รวมผลดำเนินงานของ LSP บริษัทฯ จะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมาเป็น 4,019 ล้านบาท







อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) กำไรจะลดลง 54.7% สาเหตุหลักจากในช่วงเดียวกันปีก่อน SCGC มีกำไรจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ ประกอบกับในไตรมาสแรกปีนี้ ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมของ SCGC ลดลง อีกทั้งค่าใช้จ่ายจากโครงการลองเซินปิโตรเคมิคอลส์คอมเพล็กซ์ (LSP) เพิ่มขึ้น จากค่าเสื่อมราคาและดอกเบี้ย คิดเป็นมูลค่าราว 2,200 ล้านบาท รวมถึงผลดำเนินงานที่ลดลงของ SCGP  

พร้อมกันนี้ นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCC ได้ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดจากการการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์ ด้วยว่า แม้ผลกระทบทางตรงจะมีเล็กน้อย เนื่องจากบริษัทฯ มีการส่งออกไปอเมริกาเพียง 1% ของยอดขายรวมทั้งกลุ่ม แต่ตลอดไตรมาสแรกที่ผ่านพ้นไป บริษัทฯ ได้เปิดเจรจากับผู้ผลิต รวมถึงข้อผูกพันทางการค้ากับลูกค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดต้นทุน และบริหารจัดการเงินสด แต่คงต้องติดตามผลกระทบทางอ้อมต่อไป เพื่อวางแผนรับมือให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

เบื้องต้น บริษัทฯ จะคงให้ความสำคัญกับเรื่องกระแสเงินสดเป็นหลัก โดยพร้อมปรับลดรายจ่ายลงทุน และเงินลงทุนจากที่ตั้งไว้เดิม 30,000 ล้านบาท ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ รวมถึงปิดกิจการ หรือขายธุรกิจที่ไม่ทำกำไรออกไป พร้อมกับเดินหน้าผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Value-Added) และสินค้ารักษ์โลก (Green Product) เช่น ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ Gen 2 และ Gen 3 ควบคู่ไปกับการขยายตลาดใหม่ๆ ให้เพิ่มขึ้น   






 

 

 

 

 

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้