JMT เร่งปรับกลยุทธ์เพิ่มยอดจัดเก็บหนี้ในครึ่งปีหลัง หลังไตรมาสแรกได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ

บมจ. เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ประกาศผลดำเนินงานงวดไตรมาสแรกปี 2568 มีกำไรสุทธิ 330 ล้านบาท ลดลง 21% จากช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) และลดลง 18% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ต่ำกว่าที่ตลาดคาด สาเหตุจากมีการตั้งผลขาดทุนทางเครดิต (ECL) เพิ่มขึ้น จากพอร์ตหนี้ที่มีผลการจัดเก็บต่ำกว่าประมาณการ อีกทั้งความสามารถจัดเก็บหนี้ (ไม่รวมบริษัทร่วมทุน JKAMC) ที่ลดลง 7% YoY และ 8% QoQ มาอยู่ที่ 1,345 ล้านบาท ตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ประกอบกับต้นทุนการให้บริการที่เพิ่มขึ้น หลักๆ จากค่าใช้จ่ายบุคลากร และค่าดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการติดตามและบริหารหนี้ กดดันให้อัตรากำไรขั้นต้นลดจาก 65.2% ในไตรมาสแรกปีก่อน และ 69.0% ในไตรมาสสุดท้ายปีก่อน มาอยู่ที่ 60.6% ในไตรมาสแรกปีนี้ เสริมด้วยรายได้จากธุรกิจบริการจัดหาคน ที่มีปริมาณงานเพิ่มขึ้น ทำให้มีรายได้สูงขึ้น 76.29% ส่งผลให้รายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 11.23% มาอยู่ที่ 548.55 ล้านบาท

ผลดำเนินงานที่อ่อนแอในไตรมาสแรก ทำให้นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออกมายืนยันว่า เตรียมแก้ไขปัญหาจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้แล้วเสร็จภายในไตรมาส 2 นี้ ด้วยการเพิ่มยอดจัดเก็บ เพื่อสร้างการเติบโตของรายได้ ควบคู่ไปกับการลดต้นทุนการดำเนินงาน โดยมาตรการเพิ่มรายได้ นอกจากจะช่วยเหลือลูกหนี้ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ให้เหมาะสมกับรายได้ในช่วงเวลานี้ ด้วยการยืดระยะเวลาผ่อนชำระ ลดค่างวดรายเดือน หรือพักชำระหนี้บางส่วนชั่วคราวแล้ว ยังจะเพิ่มแนวทางกระตุ้นการปิดบัญชี ผ่านการให้ส่วนลดพิเศษ (Settlement Discount) เพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้ลูกหนี้ชำระหนี้ครบถ้วนโดยเร็ว และลดภาระหนี้ในระยะยาว ส่วนมาตรการลดต้นทุนการดำเนินงาน จะใช้วิธีลดจำนวนบุคลากรให้สอดคล้องกับแผนดำเนินงานระยะยาว ที่เตรียมนำเอาเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ดีขึ้น ซึ่งจะสนับสนุนให้บริษัทฯ สามารถจัดเก็บหนี้ได้เพิ่มขึ้น เห็นผลตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไป ถึงแม้จะทำให้ต้องปรับลดเป้าหมายกำไรปีนี้ลงมาเป็นกำไรเล็กน้อย หรือทรงตัวจากปีก่อน