1297 จำนวนผู้เข้าชม |
นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ผลิตภัณฑ์ตราเพชร (DRT) ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์และบอร์ดไฟเบอร์ซีเมนต์ บอร์ดตกแต่งผนัง อิฐมวลเบา บริการติดตั้งโครงหลังคาสำเร็จรูปและกระเบื้องหลังคา, พื้น บันได และผนังพร้อมบริการติดตั้งแบบครบวงจร เปิดเผยแผนธุรกิจในช่วง 3 ไตรมาสที่เหลือของปีนี้ว่า พ้อมเดินหน้าทำการตลาดเชิงรุก เพื่อผลักดันยอดขายให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นขยายตลาดส่งออก ซึ่งยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี โดยเฉพาะภูมิภาคอาเซียน เนื่องจากเศรษฐกิจหลายประเทศมีแนวโน้มเติบโตสูงกว่าไทย อีกทั้งแบรนด์สินค้าวัสดุก่อสร้างและตกแต่งจากไทยได้รับการยอมรับเรื่องคุณภาพ ทำให้โอกาสในการขายเปิดกว้าง ส่งผลให้บริษัทฯ ได้รับคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง นำโดยสินค้ากลุ่มไม้สังเคราะห์ บอร์ด ประกอบกับบริษัทฯ มีแผนขยายสินค้ากลุ่มอิฐมวลเบา ที่มีจุดเด่นด้านน้ำหนักที่เบากว่า ก่อได้ง่ายรวดเร็ว และมีคุณสมบัติกันเสียง และกันความร้อนได้ดีกว่าอิฐมอญ เพิ่มเติมเข้ามา อีกทั้งบริษัทฯ พร้อมเดินเครื่องจักรเชิงพาณิชย์จากโรงงานใหม่ ACC-2 ในจังหวัดสระบุรี ในเดือนกันยายนนี้ ทำให้มีกำลังการผลิตสูงขึ้น สามารถรองรับคำสั่งซื้อที่จะเติบโตจากทั้งในและต่างประเทศได้มากขึ้น สามารถรักษาสถานะการเป็นหุ้นปันผลได้อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้จะมีความไม่แน่นอนสูง
ทั้งนี้ โรงงานอิฐมวลเบา ACC-2 มีกำลังการผลิตปีละ 2.9 ล้านตารางเมตร หากคิดรวมกับกำลังการผลิตอิฐมวลเบาที่โรงงานเดิมในจังหวัดสระบุรี และจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีอัตราการเดินเครื่องจักรเกือบเต็มกำลังการผลิตในช่วงที่ผ่านมา จะทำให้มีกำลังการผลิตอิฐมวลเบารวมเพิ่มเป็นปีละ 8.7 ล้านตารางเมตร และมีต้นทุนการผลิตที่ลดลง ทั้งจากการประหยัดจากขนาด (Economy of Scale) และการใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย โดยจะแยกอิฐมวลเบาก่อนเข้ากระบวนการอบ มีระบบดักฝุ่น หมุนเวียนไอน้ำและไอร้อนกลับมาใช้ ช่วยลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิต และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
สำหรับผลดำเนินงานงวดไตรมาสแรกปี 2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 106.1 ล้านบาท ลดลง 47.9% จากช่วงเดียวกันปีก่อน หลักๆ มาจากยอดขายในประเทศที่ลดลงในทุกช่องทาง กดดันให้รายได้จากการดำเนินงานชะลอตัว 8.5% มาอยู่ที่ 1,359.5 ล้านบาท ประกอบกับการที่ค่าใช้จ่ายขายและบริหาร และดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น ฉุดให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 28.2% ในไตรมาสแรกปีก่อน เหลือ 22.1%