1426 จำนวนผู้เข้าชม |
นายชาญวิทย์ เขียวนาวาวงศ์ษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนางสาวณัฐพร พงษ์ชาญชวลิต ประธานฝ่ายปฏิบัติการ บมจ. สกิน ลาบอราทอรี่ (SKIN) พร้อมด้วย ดร. สมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และนายวิชา โตมานะ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บมจ. หลักทรัพย์ ฟิลลิป ประเทศไทย (PST) ในฐานะแกนนำการจัดจำหน่ายหุ้น ร่วมกันปิดท้ายการนำเสนอข้อมูลธุรกิจ ข้อมูลทางการเงิน โอกาสทางธุรกิจ และศักยภาพการเติบโต ให้กับนักลงทุน จากหอประชุมศาสตราจารย์ สังเวียน อินทรวิชัย ชั้น 7 อาคาร B ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก่อนเดินหน้าขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 44 ล้านหุ้น และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ (mai) ต่อไป
โดยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SKIN ชี้แจงว่า บริษัทฯ เป็นผู้พัฒนาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ความงามแบรนด์ไทยที่มีคุณภาพทัดเทียมแบรนด์ต่างประเทศ แต่มีความคุ้มค่าด้านราคา สำหรับผู้มีปัญหาเรื่องผิว ไม่ว่าจะเป็นสิว ริ้วรอย หรือผิวแพ้ง่าย ภายใต้แบรนด์ สกินซิสต้า (Skinsista) และเดอร์มี่ (Dermie) โดยใช้กลยุทธ์การตลาดที่มุ่งเน้นตอบไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคอย่างตรงจุด ไล่ตั้งแต่การวางจำหน่ายผ่านโมเดิร์นเทรดชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น 7-11, Watsons, CJ MORE, NINE BEAUTY, Konvy หรือ Beautrium รวมถึงช่องทางออนไลน์ ทั้งแพลตฟอร์ม Shopee, Lazada และ Tiktok shop การอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ ด้วยรูปแบบซองขนาดเล็ก ที่ง่ายต่อการพกพา (Sachet) และ Full Package ควบคู่ไปกับสร้างการรับรู้แบรนด์ในวงกว้าง และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า และขยายฐานตลาดอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนมีการคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมทุกปัญหาผิวอย่างมีประสิทธิผล
สำหรับแผนธุรกิจ 3 ปีนี้ บริษัทฯ จะเน้นขยายธุรกิจสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เพิ่มช่องทางจำหน่ายผ่าน Beauty Store และเริ่มขยายตลาดต่างประเทศ โดย 2 ปีนี้ จะให้ความสำคัญกับแบรนด์ Dermie ที่เป็นแบรนด์ใหม่เป็นหลัก แต่ยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาดของแบรนด์ Skinsista ผ่านการเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดกลุ่มผลิตภันฑ์เครื่องเวชสำอางเต็มรูปแบบ ภายใต้การทำตลาดเชิงรุก และออกแคมเปญร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์ที่มีชื่อเสียงในลักษณะ Collaporation Projct ก่อนจะขยายธุรกิจสู่ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ พร้อมกับขยายตลาดภูมิภาคอาเซียนให้ครอบคลุมมากขึ้น ภายในปี 2570 เพื่อผลักดันรายได้ให้เติบโต 2 เท่าตัว ในปี 2571
ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะช่วงปี 2566-67 บริษัทฯ มีการเดินหน้าแก้ไขสัญญาที่ถูกจำกัดเงื่อนไขการขาย ตาม Exclusive Contract ที่เคยทำไว้ในอดีต จนทำให้มีค่าใช้จ่ายในการยกเลิกสัญญาเพิ่มขึ้น กดดันให้รายได้รวมลดลงจาก 282.7 ล้านบาท ในปี 2565 มาที่ 230.53 ล้านบาท ในปี 2567 แต่ก็ส่งผลดีให้สัดส่วนการขายแบบฝากขายลดลงเป็นลำดับ จาก 253.14 ล้านบาท ในปี 2565 มาอยู่ที่ 156.46 ล้านบาท ในปี 2567 และบริษัทฯ จะรับรู้รายได้ได้เร็วขึ้นจากการทำสัญญาแบบขายขาดที่เพิ่มขึ้น เห็นผลชัดเจนปีนี้ ช่วยให้กำไรสุทธิปีนี้เติบโตแข็งแกร่งขึ้นจากที่ทำได้ 10.67 ล้านบาท ในปี 2567 ที่มีแรงกดดันส่วนหนึ่งมาจากค่าใช้จ่ายในการเตรียมเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (one-time expense)
ส่วนนายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร APM เปิดเผยว่า จากการเดินสายโรดโชว์ทั้งหมด 8 จังหวัด รวมกรุงเทพฯ ครั้งนี้ พบว่า การให้ข้อมูลต่างๆ ช่วยให้นักลงทุนเล็งเห็นโอกาสการเติบโตทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง จากแบรนด์ SKINSISTA ซึ่งเป็นที่รู้จักในวงกว้าง คุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับ และความนิยมใช้สินค้าแบรนด์ไทยที่เติบโตสูงขึ้น เพราะมีคุณภาพใกล้เคียงแบรนด์ต่างประเทศ แต่ราคาย่อมเยาว์กว่า รวมถึงภาพรวมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ความงามในประเทศที่เติบโตเฉลี่ยปีละ 12% การแก้ไข pain point ของสัญญาในอดีต และการมีเงินทุนขยายโอกาสทางธุรกิจ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ทำให้นักลงทุนให้การตอบรับเป็นอย่างดีมาโดยตลอด
ขณะที่นายวิชา โตมานะ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ PST ปิดท้ายว่า พร้อมพิจารณาแผนเสนอขายหุ้น IPO ในครึ่งปีหลัง เพราะจะต้องดูจังหวะเวลา และบรรยากาศการลงทุนที่เอื้ออำนวย เพื่อไม่สร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน